เกณฑ์ "Super Stock" หุ้นอเมริกาที่ควรจับตา

Image
สนับสนุนโดย  คอร์ส เทรดหุ้นอเมริกา ติดต่อสมัครที่:   https://m.me/zyoit ขยายความจาก  https://x.com/ConnorJBates_/status/1968410867239899466 เวลาที่ตลาดกำลังร้อนแรง หุ้นที่จะกลายเป็น "ดาวเด่น" มักจะมีคุณสมบัติที่คล้าย ๆ กัน ผมขอเรียกว่า Super Stock Criteria 1. กราฟฐานใหญ่ หรือโมเมนตัมแรงต่อเนื่อง หุ้นที่ดีมักสร้างฐานราคายาว ๆ ในกราฟรายวัน/รายสัปดาห์ หรือถ้าเป็นช่วงโมเมนตัมแรง ก็จะวิ่งต่อเนื่องขึ้นไปได้เรื่อย ๆ 2. ธีมที่แข็งแรง ไม่ใช่แค่หุ้นตัวเดียว แต่ทั้งกลุ่ม/เซกเตอร์กำลังมาแรงพร้อม ๆ กัน เช่น หุ้นพลังงาน หุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้น AI ที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน 3. ตัวเร่ง (Catalyst) ต้องมีเหตุผลที่ทำให้หุ้น "ลุกขึ้นวิ่ง" เช่น ข่าวประชาสัมพันธ์, กำไรดีกว่าคาด, การจับมือกับพาร์ทเนอร์ใหม่ ฯลฯ 4. สิ่งใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น อาจเป็นธีมใหม่, สินค้าใหม่, หรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในอุตสาหกรรมที่ดึงดูดนักลงทุน เช่น การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า หรือการปฏิวัติด้วย AI 5. พิสูจน์มาแล้วว่า "วิ่งได้จริง" ดูประวัติย้อนหลังว่า หุ้นตัวนี้เคยทำเทรนด์แรง ๆ หลายสัปดาห์ติดมาแล้วหร...

Indicator ตัว ไหน ดี ที่สุด?

 


การเลือกใช้ Indicator ที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการลงทุนและสไตล์การเทรดของนักลงทุนแต่ละคน ไม่มี Indicator ใดที่สามารถใช้ได้ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ การเลือกใช้ Indicator ที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ประเภทของตลาด สภาวะตลาด เป้าหมายการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นี่คือตัวอย่าง Indicator ที่ได้รับความนิยมและเหมาะสมกับการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ:


1. Moving Averages (MA)

- Simple Moving Average (SMA): ใช้ค่าเฉลี่ยราคาหุ้นในช่วงเวลาที่กำหนด เป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย

- Exponential Moving Average (EMA): ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่า เหมาะสำหรับการติดตามแนวโน้มระยะสั้น


2. Relative Strength Index (RSI)

- เป็นเครื่องมือวัดความแข็งแรงและความอ่อนแอของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยระบุระดับ Overbought (ซื้อมากเกินไป) และ Oversold (ขายมากเกินไป)


3. Moving Average Convergence Divergence (MACD)

- ใช้ในการระบุแนวโน้มและจุดกลับตัวของราคา ประกอบด้วยเส้น MACD เส้น Signal และ Histogram ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและแรงกระตุ้นของตลาด


4. Bollinger Bands

- ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และเส้นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) บนและล่าง ช่วยในการระบุความผันผวนของราคาและจุดซื้อขาย


5. Stochastic Oscillator

- เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการระบุระดับ Overbought และ Oversold โดยวัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาที่กำหนด


6. Fibonacci Retracement

- ใช้ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ โดยใช้เลข Fibonacci Sequence ในการคำนวณระดับต่าง ๆ


7. Average Directional Index (ADX)

- ใช้ในการวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ช่วยให้นักลงทุนรู้ว่าแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นนั้นแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ


8. Volume Indicators

- เช่น On-Balance Volume (OBV) และ Volume Moving Average ใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้มและแรงกระตุ้นของตลาด


การเลือก Indicator ที่เหมาะสม

การเลือก Indicator ที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากสไตล์การลงทุนและลักษณะของตลาดที่คุณกำลังลงทุน:

- นักลงทุนระยะยาว: ใช้ Indicator ที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มระยะยาว เช่น Moving Averages, MACD

- นักลงทุนระยะสั้นหรือเทรดเดอร์: ใช้ Indicator ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวระยะสั้น เช่น RSI, Stochastic Oscillator

- ตลาดที่มีความผันผวนสูง: ใช้ Indicator ที่ช่วยในการระบุความผันผวน เช่น Bollinger Bands, ATR (Average True Range)


นักลงทุนควรทดลองใช้ Indicator หลาย ๆ ตัว และปรับให้เข้ากับสไตล์การลงทุนของตนเอง การใช้ Indicator ร่วมกันหลาย ๆ ตัวเพื่อยืนยันสัญญาณ (Confluence) จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจลงทุน


7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

แนะวิธีดูกราฟหุ้นเบื้องต้น

สรุปหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่"