ZYO BLOG

ใครเอาเนยแข็งของฉันไป หนังสือดีสำหรับคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองรับปีใหม่ "บางครั้งนะเฮม สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปและไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม ชีวิตก็อย่างงี้แหละ ต้องก้าวต่อไป พวกเราก็เหมือนกัน" . เคยเป็นหนังสือที่ขายดีมากอยู่พักใหญ่ ใครๆก็พูดถึง คาดว่า น่าจะถูกปล่อยออกมาถูกช่วง ถูกเวลา ที่สังคมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมถึง เนื้อหาที่อ่านง่าย  ได้ข้อคิด และอยากบอกต่อ อีกอย่างคือ คิดว่าคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ ล้วนอยากจะเปลี่ยนตัวเอง แต่ก็เริ่มเองไม่ได้เสียที ต้องให้ใครสักคนมาบอก จึงมีทั้งคนซื้อมาอ่านเอง และซื้อฝากเป้าหมาย . . ล่าสุด มีโอกาสฟังคลิป audiobook หนังสือเล่มนี้ แล้วประทับใจ เล่มเล็กๆ แต่ทรงพลังเหลือเกิน อุดมไปด้วยคำคม เอามาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวชวนคิด หัวใจของเรืองเขาพูดถึง วิธีการรับมือกับ "การเปลี่ยนแปลง" ของคน 3 ประเภท ขอใช้คำว่า "คน" นะครับ แม้ในเล่มจะมีตัวละครเป็น หนู 2 ตัว กับ คน 2 คน แต่จริงๆแล้ว ผู้เขียนก็ใช้เป็นตัวแทนความเป็นมนุษย์นั่นเอง คือ - คนที่รู้จมูกไว สังเกตเห็นความผิดปกติได้ก่อน เตรียมรับการเปลี่ยนแปลงได้ทันที และไม่กลัวท

นึกถึงเม้นของเพื่อนท่านนั้นที่ยกประเด็นการอ้างชื่อพี่เสี่ยยักษ์ของผม ความจริงถ้าท่านสังเกตุให้ดีๆ ผมก็แอบเกาะกระแสท่านมาโดยตลอดนะ ไม่ว่าจะเป็นคำคม, รวมเป็น ebook, สรุปประเด็น ฯลฯ งั้นเอางี้มั้ย, ผมไม่แอบแล้วนะ ขอเปิดเผยเลยว่ามีไอเดียหนึ่งที่โคตรอยากทำ คือการตีความหนังสือ "กูรูหุ้นพันล้าน" ผ่านมุมมองของเม่า(เจ๊งหุ้น)กลางเก่ากลางใหม่อย่าง เซียว จับอิดนึ้ง mindset ของผู้ชนะ - นักลงทุนรายย่อยทุกคน มีสิทธิรวยได้...เชื่อผม! แต่ต้องขยัน ต้องทุ่มเท ต้องเป็นมืออาชีพจริงๆ - นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องค้นให้พบแนวทางของตัวเอง มีต้นแบบได้ แต่ต้องไม่ใช่การลอกเลียนแบบผู้อื่น..ต้องไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ - หากคุณยังไม่มีประสบการณ์เลย คุณต้องขาดทุนก่อน ในชีวิตจริงต้องเป็นอย่างนั้น นักลงทุนมือใหม่ "ขาดทุน" ถือเป็นเรื่องปกติ" - เล่นหุ้นแล้วขาดทุน แสดงว่าคุณยังรู้ไม่จริง . การยอมรับความผิดพลาด - ความรู้เรียนทันกันได้ ประสบการณ์ก็เรียนรู้ได้ แต่อุปนิสัยกับวิธีคิดของคนเรา “เปลี่ยนไม่ง่าย” เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความผิดพลาดของเราเอง อย่าไปโทษคนอื่น นำกลับมาแก้ไข เชื

ผมมีซีรี่ส์ใหม่มาเขียนให้ท่านได้อ่านอีกแล้วครับ คราวนี้จะเป็นการนำเสนอเรื่องขั้นตอนการเข้าซื้อ แบบ step-by-step ก็มีการลงรายละเอียดทั้งจากประสบการณ์ของตัวเองและของฝรั่งนะครับ ของคนอื่นเขาจะเน้นที่การรุก ส่วนผมเองขอเสริมเกมรับให้นะครับ จะได้รอบด้าน เพราะส่วนใหญ่เราบุกเพลินกัน โดนสวนทีไรน็อคทุกที เริ่มต้นที่ความหมายของ Break out แปลว่า การพุ่งทะลุ ทะลุอะไร? ถ้าเป็น break out หุ้น คือการทะลุแนวต้านสิครับ บางท่านเรียกการ breakout ว่า "ตีทะลุ", "ฝ่าด่าน", "ทะลุแนวต้าน" หรือ เบรกเอ้าท์ ตรงๆก็มี ผมว่าการเทรด breakout ใช้ได้กับการเทรดทุกประเภทนะครับ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น,  FOREX, DW, FUTURE, Commodity, ทอง, bitcoin, ฯลฯ ขอให้มีการเก็งกำไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมว่าใช้ได้หมดทุกตลาด นึกภาพ การทะลุแนวต้าน ออกมั้ย? ดูรูปดีกว่านะ ส่วนประกอบสำคัญของการ breakout มีอยู่ ๓ จุดครับ ๑) ระดับจุดสูงสุดเก่า ที่ราคาเคยทำไว้ ระดับนี้แหละครับที่เขาเรียกว่าแนวต้าน ทำไมถึงเป็นแนวต้านน? ก็เพราะว่าจะมีนัก้ก็งกำไรส่วนหนึ่งเขาใช้เป็นจุดขายหุ้นออกไงครับ เมื่อราคาหุ้นวิ่

อย่าเชื่อในมายา ที่ว่า ใครทำคอนเทนต์หุ้นเยอะ แล้วจะเทรดเก่งนะครับ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผม ผมเป็นตัวอย่างหนึ่งเดียวในตลาดหุ้น ที่ทำคอนเทนต์เยอะมาก แต่มาตรฐานการเทรดยังอยู่ใน "วังวนที่ดิ้นรน" นี่คือความจริงที่ท่านควรรู้ไว้ . ผมไม่อยากสร้างภาพเพื่อให้ท่านเคารพผม เพราะผมเคารพตัวผมเองมากกว่า พูดความจริงไปเลย จะได้ไม่อายตัวเอง ผมก็เป็นเท่าเหมือนคุณนี่แหละ อาจจะต่างกันนิดเดียว คือผม "บ้า" และ "หน้าด้าน" กว่าท่านเท่านั้นเอง . ผมภูมิใจที่พบกับความผิดพลาด ที่ยังไม่รวย แม้จะเทรดมา 6 ปีกว่า เพราะตระหนักชัดว่า เรายังดีไม่พอจริงๆ เลยยังไม่รวย แต่ก็ไม่ท้อนะ ผมจะสู้ต่อไป จนกว่าจะพบทางสว่าง 5  ปี 10 ปี จากนี้ ก็จะทำต่อไป . โดยระหว่างทางผมจะทำคอนเทนต์ มาแชร์ให้ท่านได้อ่าน ได้ชม ฟังกัน ว่าเจออะไรบ้าง มีจุดเปลี่ยนอะไรบ้าง ซึ่งผมจะนำเสนอเฉพาะสิ่งที่ตัวเองโฟกัส และสนใจเท่านั้น . งานของผม เปรียบเหมือน reality ทางการเทรด ที่เทรดจริง เจ็บจริง เรียนรู้จริง ซึ่งการเอาประสบการณ์จริง มาแชร์ให้สาธารณะใด้ชมนั้น มันเป็นการทำเพื่อเป็นวิทยาทาน ให้กับคนที่ตามมาทีหลั

เทคคอร์ส, อ่านหนังสือหุ้น คุณได้ประโยชน์แค่ 10% เท่านั้น คุณต้องทำสิ่งเหล่านี้เพิ่ม เพื่อให้ครบ 100% ช่วงนี้เห็นมีการเปิดคอร์สสอนหุ้นเยอะมาก ๆ ทุกคอร์สที่เปิดสอน น่าจะดีทั้งหมดแหละครับ ดีตามกำลังเงินที่ท่านจ่าย และความตั้งใจของคนสอนเอง เพียงแต่ว่า แค่ไปนั่งฟัง จดแลคเชอร์ ไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดในเกมการเทรดแน่นอนครับ เพราะมันไม่ใช่แค่เกมการจำข้อสอบ แต่เป็นการตัดสินใจ ที่มีเดิมพัน เพื่ออนาคต(กำไร)และอดีต(ขาดทุน) ซึ่งคุณต้องตระหนักรู้ในระดับจิตใต้สำนึกกันเลยทีเดียว เรียนเสร็จ อ่านจบ คุณต้องลงทุนในตัวเองต่อครับ ทำการบ้าน ฝึกฝน ลงสนามจริง ถ่ายทอดต่อ ถึงจะได้ประโยชน์ไกล้ 100% ครับ

มีหลายคนทักมาว่า "ทำไมตื่นเช้าจัง" "อัพคลิปเช้าจัง" ขอตอบคำทักทายท่านแบบนี้นะ ผมมีกิจวัตร ที่ fix เป็นนิสัยไปแล้วครับ ตื่นตอน ตี 3-4 ก็เปิดมือถือดู twitter, pinterest เพื่อหาไอเดียในการเขียน ทำคลิปมา bookmark ไว้ ไม่ค่อยได้เข้า facebook เท่าไหร่แล้ว ไม่ดูข่าวทีวี ไม่ตามข่าวดราม่า ถ้าอยากบันเทิงก็ดูคลิปแมวกับหมาตลก ๆ ชีวิตเบิกบานแต่เช้า ตี 5 ออกกำลังกาย ด้วยการวิ่ง ประมาณ 30 นาที การออกกำลังกายของผม นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ผมยังได้ไอเดียใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาให้เป็นเชื้อในการเขียนทุกวันด้วย โคตรได้รางวัล ****ช่วงเช้าอย่าได้สร้างความเครียดให้กับตัวเอง เสพแต่สิ่งที่จะทำให้เราคิดบวก มีความหวัง รื่นเริง เพราะมันคือพลังของการสร้างงานที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดครับ ถ้าตอนเช้าเราคิดบวก การทำงานก็จะได้งานที่สร้างสรรค์ 6 โมงเช้า แชร์คลิป ลงยูทูป ให้ท่านได้ชม 6 โมงครึ่ง ออกเดินทางไปกินข้าวเช้า 7 -12 ทำงานร้านกาแฟ ในห้าง เขียนหนังสือ ทำต้นฉบับคลิป และเทรด 14 - 18 กลับไปที่พัก อัดคลิปยูทูป เทรด บันทึกการเทรด หาหุ้นดาวรุ่ง เล่นเกม(ที่เราควบคุมผลลัพธ์ได้)

(Dark มาก ๆ บอกไว้ก่อน จิตใจงดงามไม่ควรอ่าน) มีคอมเมนต์ทาง Youtube ช่อง Zyo มาประมาณว่า "เล่นหุ้นประเทศเรา เสี่ยงกว่าที่อื่น" ผมอยากแสดงความเห็นว่า "ไม่จริง" เพราะว่าไม่อยู่ในประเทศไหน ล้วนเสี่ยงทั้งนั้น เพราะตลาดหุ้น คือ สงครามแห่งผลประโยชน์ เป็นทั้งเกม และสงคราม ซึ่งโหดร้ายไม่แพ้กัน เงินไม่เข้าใครออกใคร ถ้าบอกว่าบ้านเรามีเจ้ามือ ก็ต้องบอกว่าทุกตลาดก็ต้องมีเจ้ามือกันทั้งนั้น แต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง นี่คือความจริง หน้าที่ของนักเทรดอย่างเราคือ "นักรบกองโจร" ไม่ใช่ "พระเอก" เราคือ "จิ้งจอก" ไม่ใช่ "สิงโต" ไม่จำเป็นต้องสง่างามทุกท่วงท่า แต่ต้องได้ประโยชน์จากเกมให้ได้ ในการเทรดไม่มีใครทำร้ายคุณหรอกครับ ไม่มีใครบังคับคุณให้ซื้อขาย ทั้งหมดเกิดจากความโลภของพวกเราเอง เรามีส่วนเกี่ยวข้องการการซื้อขาย 100% อย่าโยนความผิดบาปให้กับคนอื่น เพราะไม่มีใครบังคับคุณให้ซื้อขาย ทั้งหมดเกิดจากอารมณ์อยากรวยของพวกเราเอง ในตลาดเก็งกำไร มีทั้งเกมเข้าใจง่าย และเข้าใจยาก เกมที่เสี่ยงเกินความสามารถของเรา และเกมที่เราพอเอาอย

จิตวิทยาการเทรด คืออะไร? เรียนรู้ว่าทำไมผมคิดว่า จิตวิทยาการเทรด มีมูลค่าถึง 95% ในความสำเร็จโดยรวมของการซื้อขายของคุณ ค้นหาว่าคุณตกอยู่ในหมวดหมู่ผู้ประกอบการค้าโดยเฉลี่ยหรือไม่และเหตุผลที่คุณตัดสินใจในการซื้อขายที่ไม่ดีเท่าที่จะทำให้คุณกลับมาได้ ความจริงที่ไม่น่าเชื่อและคุณอาจจะยอมรับไม่ได้ก็คือ : คุณคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเองสำหรับการเทรด ดังนั้นอย่าไปมัวแต่โทษใครเลย เลิกบอกว่า เจ้ามือเล่นไม่ซื่อ วีไอทมิฬ ตลาดใช้ไม่ได้ ฯลฯ ทั้งที่ความจริงแล้ว คุณนั่นแหละที่เป็นคนตัดสินใจโดยมีอารมณ์เป็นผู้นำให้ลงมือ ใช่แล้ว...คุณคือศัตรูตัวฉกาจของตัวเอง ตอนนี้คุณอาจจะเร่งพัฒนาทักษะทางเทคนิคอลให้รู้ลึกซึ้งมากกว่าเก่า ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือมากมาย เข้าคอร์สอบรมทุกเสาร์อาทิตย์ ถ้าหากมีใครถามคุณเรื่องเทคนิคอล ก็แทบจะตอบได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่ทำไมคุณยังไม่ประสบความสำเร็จ? นั่นก็เป็นเพราะว่าคุณมุ่งมั่นในการเรียนรู้เทคนิคอลที่เป็นเรื่องนอกตัว แต่ลืมให้ความสำคัญกับจิตใจและอารมณ์ของคุณเอง ใช่ครับคุณยังไม่ได้ลงลึกในเรื่องของจิตวิทยาการเทรดเลย จิตวิทยาการเทรด คืออะไร? คือการรู้

ตอบคำถามคุณ Tanat เพราะเห็นว่าน่าสนใจแสดงความเห็นส่วนตัว ขออภัยที่ตอบช้า แถมรูปก็แนบไม่ได้อีก เขาถามประมาณว่า "หุ้นใหญ่แพงมากแล้ว ควรไปเทรด DW tfex future ดีมั้ย?" ผมว่าได้นะ แต่คุณต้องกลับมาถามตัวเองว่า - เข้าใจเกมของมันหรือเปล่าล่ะ ? - คุณทันความเร็วของมันหรือเปล่า ? - ความเสี่ยงคืออะไร ? - คุณบริหารจัดการความเสี่ยงได้มั้ย ? ถ้ายังไม่รู้ ก็ต้องยอมรับ "ความจริง" ให้ได้ และเรียนรู้มันครับ ทุกตลาดทำเงินได้หมดแหละ เพียงแต่ว่าคุณต้องเข้าใจเกมของมัน และที่สำคัญคือคุณต้องเข้าใจเกมของคุณด้วย ถ้าไม่รู้จักตัวเอง กำเงินมาร้อยล้านก็หมดได้ในไม่กี่เดือนแน่นอนครับ ตลาดไม่สนใจเงินทุนของคุณหรอกครับ ถ้าคุณพลาด มันสอยคุณร่วงแน่ ส่วนตัวของผมเองนะ ผมไม่เทรดพวกนี้ครับ เพราะไม่เข้าใจ และคิดว่าไม่ใช่เกมของผมครับ

คนที่ประสบความสำเร็จ ๑. เขารู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำหรือต้องการ ๒. เขามีเป้าหมาย ทิศทางของชีวิตตนเอง ที่ชัดเจน เมื่อเราไม่สามารถอธิบายได้ว่าคนหนึ่งเก่งขนาดนั้นได้ยังไง (เพราะไม่ได้คลุกคลี) จะตัดสินทันทีว่า มีพรสวรรค์ คนสำเร็จ จะมี priority หรือการจัดลำดับความสำคัญ ว่าต้องทำอะไรก่อน บัฟเฟตต์ มีกฎ 25/5 คือ เขียนสิ่งที่ตนเองต้องการทำมากที่สุด 25 ข้อ เรียงจากมากไปน้อย คัดเอาแค่ 5 ข้อแรก ที่เหลือเอาออกไปให้หมด ตั้งเป้าหมายสูง ถึงขั้นเปลี่ยนชีวิต Grit ประกอบด้วย 4 อย่าง ๑. Interesting หรือ passion หรือ ความสนใจ หลงไหล หลงรักแรกพบ อยากเก่ง เป็นตัวจุดประกาย หาให้เจอว่าเราชอบใช้เวลากับอะไร ถ้าสนใจ หลงไหล คุณจะมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ค้นคว้า ผจญภัย เปิดโลก พัฒนา รวมถึงสามารถสร้างนิสัย วินัยที่จำเป็น เพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้นให้ได้ ๒. Practice ฝึกฝน  ฝึกให้เป็นนิสัย เพื่อให้ตัวเองมีพื้นฐานที่ตรงกับเป้าหมายที่เราอยากจะเป็น มีความจดจ่อ พยายามพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น มีทักษะที่เชี่ยวชาญมากขึ้น ซึ่งมันต้องอาศัย feedback เพื่อตรวจสอบว่ายังขาดอะไรบ้าง ยังด้อยในเรื่องไหน ๓.

เห็นว่าน่าสนใจเลยสรุปให้อ่านกันอีกสักนิด สั้น ๆ - อยากรวย แต่ไม่อยากทำงานหนัก เพราะตัวเองเป็น dylesic ด้วย - ไปเรียนเป็นนักแสดง ได้ทักษะการเข้าถึงแรงผลัก (motivation) ของใครสักคนในการทำอะไรสักอย่าง - ตอนเรียนได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์ท่านหนึ่ง เล่าถึงเรื่องราวในตลาดเก็งกำไร ในเชิงขบขัน แต่มันได้สร้างแรงกระตุ้นให้เขาเห็นโอกาสในการสร้างความร่ำรวย ถ้าใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ - จบไปทำงานเป็นนักแสดง แต่ไม่ชอบ - ไปเป็น music promoter ก็ไม่ยั่งยืน นักร้องติดยา วุ่นวาย ตายเกลื่อน - จึงไปสมัครงานเป็นคนรับออเดอร์สั่งซื้อขายหุ้น - แล้วไปประทับใจการเทรดของ Jack Boyd ที่เทรดทำเงินได้สม่ำเสมอ ทั้งที่เทรดชนะไม่กี่ครั้ง แต่ด้วยความที่กล้า stop loss ไว และ let profit run ทำให้แม้ได้หุ้นผู้ชนะไม่กี่ตัว (ปีละ 1-2 ตัว สำหรับผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ กำไรก้อนโต) ก็ทำกำไรได้เฉลี่ย ปีละ 20% - ชอบการเทรดของ Boyd มาก จึงพยายามเอาทำเป็นสูตรคณิตศาสตร์ของตัวเอง - ได้หลักการ " การเดิมพัน 4 ประเภท " คือ (อันนี้ดี) Good bet = การเดิมพันที่ดี Bad bet = การเดิมพันที่ไม่ดี Win Bet = การเด

ความฝันของคุณ สำคัญกว่าข้อจำกัดของคุณ การพนัน(bet)คือ ทางเลือก(choice) ที่เราสร้างมันขึ้นมา เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้มากในตลาด แต่เราสามารถควบคุมทางเลือก(choice)เราได้ บ้านไม่รวย แต่สามารถเป็นมหาเศรษฐีได้ ทำยังไง? ฝันอยากเป็นคนรวยเหมือนลุง ตั้งแต่ยังเด็ก เล่มนี้จะเปิดเผยว่าผมรวยได้ยังไง การจะประสบความสำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องชนะทุกครั้ง แต่มันคือคุณได้มากแค่ไหนเมื่อชนะ เสียน้อยแค่ไหนเมื่อคุณแพ้ ผมชอบตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ ๑ ฉันเป็นใคร? ๒ เป้าหมายของฉันคืออะไร? ๓ เกมที่ฉันต้องการเล่นคืออะไร? ๔ จะเล่นเกมนั้นได้ที่ไหน? ๕ เวลาและขอบเขตโอกาสของฉันคืออะไร? ๖ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นคืออะไร? ๗ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อฉันได้รับในสิ่งที่ต้องการ? Part 1 Know who you are : How I learned from failure. ที่ผมประสบความสำเร็จได้ เพราะผมคาดหวังที่จะล้มเหลวครั้งใหญ่ มันทำให้ผมรู้ว่าความล้มเหลวฆ่าผมไม่ได้ พูดง่ายๆคือ ผมชนะ เพราะผมมักจะคาดหวังว่าตัวเองจะแพ้ นี่คือความจริง ที่มีรากมาจากวัยเด็ก ตาบอดข้างหนึ่ง ตั้งแต่เด็ก มักถูกแกล้งเป็นประจำ ไม่ชอบชอบอ่านหนังสือ เ

เล่นหุ้นขาดทุนแล้วไงต่อ? นี่คือความต่างระหว่างมือสมัครเล่นกับมือโปร มือสมัครเล่น ยอมรับการขาดทุนได้ยากมาก พวกเขาไม่อยากเทรดแล้วเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เมื่อเกิดการขาดทุนแล้ว พวกเขาจะทำแบบนี้ครับ ๑) เลื่อนระดีบ stop loss ให้ถอยออกไปอีก เพื่อที่จะไม่ต้องขายขาดทุน (ไม่อยากเสียเงิน ไม่ต้องการยอมรับว่าตัวเองผิด) ๒) ซื้อถัวเฉลี่ย เพราะมีการหลอกตัวเองว่าได้หุ้นราคาถูกลง ถ้าหากราคาวิ่งขึ้นไป เขาจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิม ได้กำไรมากขึ้น (เป็นการไม่ยอมรับว่าตัวเองคิดผิด เพราะไม่อยากแพ้ ไม่อยากเสียเงิน) ๓) เลิกใช้ stop loss ไปเลย โดยมีข้ออ้างว่า "ขายทำไม เดี๋ยวก็เด้ง" หรือ "ไม่เป็นไร มันเป็นหุ้นดี มีปันผล" พวกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความเสียหายครับ ถ้าหากไม่ยอมตัดขาดทุนแต่เนิ่น ๆ หากตลาด หรือ SET เกิดการ panic ก็จะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นร่วงแรงได้ และถ้าหากหุ้นตัวนั้นเป็นขาลงไปแล้วด้วย การร่วงจะรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เพราะว่าคนที่ถือหุ้นตัวนั้นเกิดความกลัวมากกว่าปกติ ทำให้ตัดใจขายหุ้นออกได้อย่างรวดเร็วหากเกิดการกระตุ้นจากความตื่นตระหนก ซ้ำร้ายนะ หากมีการใช้มาร์จิน ด้ว