สาเหตุที่ทำให้นักเทรดส่วนใหญ่ ต้องขาดทุนซ้ำซาก หรือ ไม่สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ

Image
สาเหตุที่ทำให้นักเทรดส่วนใหญ่ ต้องขาดทุนซ้ำซาก หรือ ไม่สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ ๑) เทรดแบบงานอดิเรก - มาทรงนี้ จะไปไวมาก เพราะงานอดิเรกมีแต่จ่าย และจ่าย // อีกกลุ่มใหญ่ไม่แพ้กันคือ เทรดแบบการพนัน เล่นหุ้นเสี่ยงสูงทั้งๆ ที่ตนเองความรู้แทบไม่มี จำคำพูดเซียนมาใช้เป็นกลยุทธ์ ๒) ถึงแม้จะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หาความรู้และฝึกฝนอย่างหนัก ก็ยังคงมีโอกาสขาดทุนหนักอยู่ เพราะ - ไปได้ข้อมูล แนวทางที่ผิด โดยเฉพาะการโฟกัสที่ผลลัพธ์ที่แม่นยำสูง + เทรดโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยง - แต่แม้จะได้ข้อมูลที่ดี ก็ยังมีโอกาสขาดทุนยับอยู่ ถ้าคุณมีความเชื่อที่ตรงข้ามกับกลยุทธ์/กระบวนการและกฎการเทรดที่ทำเงิน -- แบบนี้เรียกว่าความขัดแย้งจากภายใน ตัวอย่างที่ชัดมากคือ กลยุทธ์ให้คุณตัดขาดทุน แต่ถ้าภายในใจของคุณไม่เชื่อ คุณก็ทำตามไม่ได้ // กลยุทธ์ให้คุณบริหารความเสี่ยง แต่ถ้าคุณอยากรวยเร็ว คุณก็ไม่ยอมทำตาม ๓) ประสบการณ์ คือ ตัวแปรสำคัญ ของการเทรดที่ได้กำไรสม่ำเสมอ ถ้าคุณมีประสบการณ์มากพอ คุณผ่านเกมมากพอ คุณจะเข้าใจหลายเรื่อง ที่มันขัดกับความเชื่อทั่วไปของมนุษย์ได้ เพราะหลายเรื่องของเกมการเทรดนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อเอาชนะ -

ปรัชญาและวิธีการเทรดหุ้นของผมคือ เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยง


นี่คือซีรี่ส์ "Minervini Wisdom" ที่เป็นการเอาคำพูดของพี่มาร์คมาขยายความให้นักเทรดมือใหม่ได้เข้าใจไอเดียได้มากขึ้นนะครับ ซึ่งมีถึง 50++ บทความ ถ้าคุณสนใจอยากอ่านทั้งหมด เข้าไปดูตามลิงค์นี้นะครับ https://www.zyo71.com/search/label/Minervini%20Wisdom


"ปรัชญาและวิธีการเทรดหุ้นของผมคือ เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยง วิธีคิดขั้นต้นของผมเริ่มจาก "ผมขาดทุนได้เท่าไหร่" ไม่ใช่ "ผมกำไรได้เท่าไหร่" - มาร์ค มิเนอร์วินี

ประโยคนี้สามารถขยายความและประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประโยชน์สำหรับมือใหม่ดังนี้:


### ขยายความ

1. **เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดัน**: 

   - **นักฉวยโอกาส**: หมายถึง การมองหาโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้โอกาสดี ๆ หลุดลอยไป

   - **ดุดัน**: หมายถึง ความมั่นใจในการตัดสินใจและการลงมือทำอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดเมื่อพบโอกาส


2. **แต่ไม่ยอมเสี่ยง**:

   - **ไม่ยอมเสี่ยง**: หมายถึง การมีการวางแผนและจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การลงมือทำโดยมีการประเมินความเสี่ยงอย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่ไม่จำเป็น


3. **วิธีคิดขั้นต้นของผมเริ่มจาก 'ผมขาดทุนได้เท่าไหร่' ไม่ใช่ 'ผมกำไรได้เท่าไหร่'**:

   - **ขาดทุนได้เท่าไหร่**: หมายถึง การตั้งคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงก่อนที่จะมองถึงผลกำไร การประเมินว่าคุณสามารถทนต่อการขาดทุนได้มากน้อยเพียงใด

   - **กำไรได้เท่าไหร่**: แม้การมองหาผลกำไรจะสำคัญ แต่การโฟกัสที่ความเสี่ยงเป็นวิธีการที่รอบคอบกว่าในการลงทุน


### ประโยชน์สำหรับมือใหม่

1. **การเรียนรู้ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง**:

   - การเข้าใจและจัดการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ การเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับการขาดทุนจะช่วยให้มือใหม่มีมุมมองที่รอบคอบมากขึ้น


2. **การพัฒนาวินัยในการลงทุน**:

   - การเป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยงช่วยสร้างวินัยในการลงทุน การมีความกล้าในการตัดสินใจแต่ยังคงรักษาการวางแผนและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ


3. **การตั้งขอบเขตการขาดทุน**:

   - การตั้งขีดจำกัดการขาดทุนที่ยอมรับได้จะช่วยป้องกันการสูญเสียที่ไม่จำเป็น และทำให้สามารถจัดการพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4. **การเน้นการป้องกันเงินทุน**:

   - การมุ่งเน้นที่การป้องกันการขาดทุนก่อนจะมองหาผลกำไรช่วยให้มือใหม่มีความมั่นใจมากขึ้นในการลงทุนและลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุน


5. **การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์**:

   - การประเมินความเสี่ยงและการขาดทุนก่อนการตัดสินใจลงทุนช่วยพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล


### แนวทางการประยุกต์ใช้

1. **ตั้งขอบเขตการขาดทุน**:

   - ก่อนการลงทุน ควรกำหนดขอบเขตการขาดทุนที่ยอมรับได้ เช่น การตั้ง stop-loss เพื่อจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ราคาหุ้นตกลง


2. **ประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุน**:

   - วิเคราะห์ความเสี่ยงของหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุน ศึกษาข้อมูลทางการเงินและปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น


3. **วางแผนและทำตามแผน**:

   - สร้างแผนการลงทุนที่มีการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด


4. **ติดตามและปรับปรุง**:

   - ติดตามผลการลงทุนและปรับปรุงแผนการลงทุนตามสถานการณ์และข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง


การนำปรัชญาและวิธีการนี้ไปใช้จะช่วยให้มือใหม่มีการเริ่มต้นที่ดีและมั่นคงในการลงทุน ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ


คำกล่าวว่า "ปรัชญาและวิธีการเทรดหุ้นของผมคือ เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยง วิธีคิดขั้นต้นของผมเริ่มจาก 'ผมขาดทุนได้เท่าไหร่' ไม่ใช่ 'ผมกำไรได้เท่าไหร่'" หมายถึงการให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงในการเทรดหุ้น มาดูรายละเอียดกัน:


### 1. **เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดัน (Aggressive Opportunist) แต่ไม่ยอมเสี่ยง (Risk-Averse)**:

   - **ดุดัน (Aggressive)**: มีความพร้อมที่จะเข้าไปหาผลตอบแทนในตลาด โดยใช้วิธีการและกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้มากในระยะเวลาสั้นๆ

   - **ไม่ยอมเสี่ยง (Risk-Averse)**: ในขณะเดียวกันก็มีการจัดการความเสี่ยงอย่างดีเยี่ยม เพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป


### 2. **วิธีคิดขั้นต้นเริ่มจาก 'ผมขาดทุนได้เท่าไหร่' ไม่ใช่ 'ผมกำไรได้เท่าไหร่'**:

   - **การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)**: เป็นการเน้นการคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อน โดยตั้งคำถามว่า "ขาดทุนได้เท่าไหร่" เป็นการวางแผนและกำหนดขอบเขตการขาดทุนที่ยอมรับได้ก่อนที่จะคิดถึงกำไร

   - **การตั้ง Stop Loss**: กำหนดจุดที่ยอมรับได้ในการขาดทุน หากราคาหุ้นลงถึงจุดนั้นจะขายออกทันทีเพื่อลดการขาดทุนที่มากขึ้น


### 3. **การปฏิบัติในชีวิตจริง**:

   - **การประเมินความเสี่ยงก่อน**: ก่อนการลงทุนหรือเทรดทุกครั้ง จะต้องประเมินความเสี่ยงและกำหนดขอบเขตการขาดทุนที่ยอมรับได้

   - **การวางแผนการเทรด (Trading Plan)**: มีแผนการเทรดที่ชัดเจน รวมถึงการกำหนดจุดเข้าและจุดออกของการลงทุน

   - **การใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง**: ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น Stop Loss, Trailing Stop, Position Sizing เพื่อควบคุมความเสี่ยง


### ตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบ:

1. **นักลงทุนที่เน้นกำไร (Profit-Focused Investor)**:

   - ซื้อหุ้นโดยมองหากำไรสูงสุดเป็นหลัก

   - อาจละเลยการจัดการความเสี่ยง ทำให้เกิดการขาดทุนมากเมื่อการลงทุนไม่เป็นไปตามคาด


2. **นักลงทุนที่เน้นความเสี่ยง (Risk-Focused Investor)**:

   - ก่อนซื้อหุ้นจะคำนึงถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อน โดยตั้ง Stop Loss ที่ระดับราคาที่ขาดทุนยอมรับได้

   - มองหาการลงทุนที่มีโอกาสกำไรสูง แต่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดีเยี่ยม


### การใช้ตัวอย่างในชีวิตจริง:

1. **การประเมินขอบเขตการขาดทุน**:

   - สมมติว่าคุณมีเงินลงทุน 100,000 บาท และยอมรับได้ว่าขาดทุนไม่เกิน 5,000 บาท (5%)

   - เมื่อคุณพบหุ้นที่สนใจ คุณจะตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 5% ต่ำกว่าราคาซื้อ


2. **การวางแผนการเทรด**:

   - คุณวางแผนที่จะซื้อหุ้น A ที่ราคา 50 บาทต่อหุ้น

   - คุณกำหนดจุด Stop Loss ไว้ที่ 47.5 บาท (ขาดทุน 5%)

   - ถ้าราคาหุ้นลดลงถึง 47.5 บาท คุณจะขายหุ้นทันทีก่อนที่จะขาดทุนมากกว่านี้


3. **การใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง**:

   - นอกจาก Stop Loss คุณยังอาจใช้ Trailing Stop เพื่อเลื่อนจุด Stop Loss ขึ้นเมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ทำให้ล็อคกำไรได้หากราคาหุ้นกลับตัวลง

   - ใช้ Position Sizing โดยกำหนดว่าจะลงทุนในหุ้นตัวนี้เพียง 10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง


### สรุป:

ปรัชญานี้เน้นการจัดการความเสี่ยงเป็นหลักในการเทรดหุ้น โดยการคำนึงถึงการขาดทุนที่ยอมรับได้ก่อนที่จะมองหากำไร การตั้งจุด Stop Loss และการใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากการขาดทุนมากเกินไป ทำให้นักลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว






*** คลังความรู้การเทรดออนไลน์ ชมฟรี 1000++ คลิป เหมาะสำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่มากที่สุดครับ

https://www.zyo71.com/p/index-of-zyo.html


*** (อ่านฟรี!) คลังความรู้เรียนเทรดหุ้น 600 ++ บทความ

https://www.zyo71.com/p/index.html

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

แท่งเทียนกลับตัว - Reversal Candlesticks