การเทรดคือสงครามกับ “ตัวเราเวอร์ชันใจร้อน”

Image
การเทรดคือสงครามกับ “ตัวเราเวอร์ชันใจร้อน” สรุปจาก  https://x.com/i/status/1998937895151820931 หลายคนคิดว่าการเทรดคือการเอาชนะตลาด แต่ความจริงแล้ว ศัตรูตัวจริงอยู่ในตัวเราเอง—ตัวเราที่อยากได้ผลลัพธ์เดี๋ยวนี้ อยากชนะตอนนี้ อยากรู้สึกว่าตัวเอง “ถูก” ทันที และตัวตนแบบนั้นนี่แหละ ที่ทำให้บัญชีพัง ไม่ใช่ตลาด นักเทรดส่วนใหญ่ไม่ได้แพ้เพราะระบบไม่ดี แต่แพ้เพราะ “รีบ” รีบเข้า เพราะกลัวพลาด รีบแก้มือ เพราะอารมณ์นำ รีบปิดกำไร เพราะกลัวโดนกินคืน และรีบถือขาดทุน เพราะ “หวัง” ว่ามันจะกลับมา นี่ไม่ใช่ปัญหาของกลยุทธ์ แต่มันคือปัญหาของจิตใจ --- พฤติกรรมศัตรูในตัวเรามีหน้าตาแบบนี้ - เห็นกราฟกำลังจะสวย ก็เข้าเร็วเกินเหตุ - เบื่อแล้วกดสุ่ม - ขาดทุนนิดเดียว ก็เพิ่มล็อตเพื่อเอาคืน - ไล่ราคา - ปิดกำไรเร็วเพราะกลัว - ปล่อยขาดทุนเพราะ “หวัง” ทั้งหมดนี้คือสัญญาณว่าร่างกายกำลังควบคุมมือคุณ ไม่ใช่สมอง --- เครื่องมือที่ช่วยให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้น 1. หยุด 10 วินาทีก่อนกดคำสั่ง ถามตัวเองหนึ่งคำถามง่าย ๆ “ฉันกำลังทำตามระบบอยู่ไหม?” ถ้าไม่ใช่—ไม่ต้องเทรด กฎนี้ช่วยรักษาบัญชีมากกว่าที่คุณคิด 2. จำกัดจำนวนเทรดต่...

ปรัชญาและวิธีการเทรดหุ้นของผมคือ เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยง


นี่คือซีรี่ส์ "Minervini Wisdom" ที่เป็นการเอาคำพูดของพี่มาร์คมาขยายความให้นักเทรดมือใหม่ได้เข้าใจไอเดียได้มากขึ้นนะครับ ซึ่งมีถึง 50++ บทความ ถ้าคุณสนใจอยากอ่านทั้งหมด เข้าไปดูตามลิงค์นี้นะครับ https://www.zyo71.com/search/label/Minervini%20Wisdom


"ปรัชญาและวิธีการเทรดหุ้นของผมคือ เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยง วิธีคิดขั้นต้นของผมเริ่มจาก "ผมขาดทุนได้เท่าไหร่" ไม่ใช่ "ผมกำไรได้เท่าไหร่" - มาร์ค มิเนอร์วินี

ประโยคนี้สามารถขยายความและประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประโยชน์สำหรับมือใหม่ดังนี้:


### ขยายความ

1. **เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดัน**: 

   - **นักฉวยโอกาส**: หมายถึง การมองหาโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้โอกาสดี ๆ หลุดลอยไป

   - **ดุดัน**: หมายถึง ความมั่นใจในการตัดสินใจและการลงมือทำอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดเมื่อพบโอกาส


2. **แต่ไม่ยอมเสี่ยง**:

   - **ไม่ยอมเสี่ยง**: หมายถึง การมีการวางแผนและจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การลงมือทำโดยมีการประเมินความเสี่ยงอย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่ไม่จำเป็น


3. **วิธีคิดขั้นต้นของผมเริ่มจาก 'ผมขาดทุนได้เท่าไหร่' ไม่ใช่ 'ผมกำไรได้เท่าไหร่'**:

   - **ขาดทุนได้เท่าไหร่**: หมายถึง การตั้งคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงก่อนที่จะมองถึงผลกำไร การประเมินว่าคุณสามารถทนต่อการขาดทุนได้มากน้อยเพียงใด

   - **กำไรได้เท่าไหร่**: แม้การมองหาผลกำไรจะสำคัญ แต่การโฟกัสที่ความเสี่ยงเป็นวิธีการที่รอบคอบกว่าในการลงทุน


### ประโยชน์สำหรับมือใหม่

1. **การเรียนรู้ความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง**:

   - การเข้าใจและจัดการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ การเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับการขาดทุนจะช่วยให้มือใหม่มีมุมมองที่รอบคอบมากขึ้น


2. **การพัฒนาวินัยในการลงทุน**:

   - การเป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยงช่วยสร้างวินัยในการลงทุน การมีความกล้าในการตัดสินใจแต่ยังคงรักษาการวางแผนและการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ


3. **การตั้งขอบเขตการขาดทุน**:

   - การตั้งขีดจำกัดการขาดทุนที่ยอมรับได้จะช่วยป้องกันการสูญเสียที่ไม่จำเป็น และทำให้สามารถจัดการพอร์ตโฟลิโอได้อย่างมีประสิทธิภาพ


4. **การเน้นการป้องกันเงินทุน**:

   - การมุ่งเน้นที่การป้องกันการขาดทุนก่อนจะมองหาผลกำไรช่วยให้มือใหม่มีความมั่นใจมากขึ้นในการลงทุนและลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุน


5. **การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์**:

   - การประเมินความเสี่ยงและการขาดทุนก่อนการตัดสินใจลงทุนช่วยพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล


### แนวทางการประยุกต์ใช้

1. **ตั้งขอบเขตการขาดทุน**:

   - ก่อนการลงทุน ควรกำหนดขอบเขตการขาดทุนที่ยอมรับได้ เช่น การตั้ง stop-loss เพื่อจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ราคาหุ้นตกลง


2. **ประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุน**:

   - วิเคราะห์ความเสี่ยงของหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุน ศึกษาข้อมูลทางการเงินและปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น


3. **วางแผนและทำตามแผน**:

   - สร้างแผนการลงทุนที่มีการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด


4. **ติดตามและปรับปรุง**:

   - ติดตามผลการลงทุนและปรับปรุงแผนการลงทุนตามสถานการณ์และข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง


การนำปรัชญาและวิธีการนี้ไปใช้จะช่วยให้มือใหม่มีการเริ่มต้นที่ดีและมั่นคงในการลงทุน ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาวครับ


คำกล่าวว่า "ปรัชญาและวิธีการเทรดหุ้นของผมคือ เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยง วิธีคิดขั้นต้นของผมเริ่มจาก 'ผมขาดทุนได้เท่าไหร่' ไม่ใช่ 'ผมกำไรได้เท่าไหร่'" หมายถึงการให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงในการเทรดหุ้น มาดูรายละเอียดกัน:


### 1. **เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดัน (Aggressive Opportunist) แต่ไม่ยอมเสี่ยง (Risk-Averse)**:

   - **ดุดัน (Aggressive)**: มีความพร้อมที่จะเข้าไปหาผลตอบแทนในตลาด โดยใช้วิธีการและกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้มากในระยะเวลาสั้นๆ

   - **ไม่ยอมเสี่ยง (Risk-Averse)**: ในขณะเดียวกันก็มีการจัดการความเสี่ยงอย่างดีเยี่ยม เพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป


### 2. **วิธีคิดขั้นต้นเริ่มจาก 'ผมขาดทุนได้เท่าไหร่' ไม่ใช่ 'ผมกำไรได้เท่าไหร่'**:

   - **การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)**: เป็นการเน้นการคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อน โดยตั้งคำถามว่า "ขาดทุนได้เท่าไหร่" เป็นการวางแผนและกำหนดขอบเขตการขาดทุนที่ยอมรับได้ก่อนที่จะคิดถึงกำไร

   - **การตั้ง Stop Loss**: กำหนดจุดที่ยอมรับได้ในการขาดทุน หากราคาหุ้นลงถึงจุดนั้นจะขายออกทันทีเพื่อลดการขาดทุนที่มากขึ้น


### 3. **การปฏิบัติในชีวิตจริง**:

   - **การประเมินความเสี่ยงก่อน**: ก่อนการลงทุนหรือเทรดทุกครั้ง จะต้องประเมินความเสี่ยงและกำหนดขอบเขตการขาดทุนที่ยอมรับได้

   - **การวางแผนการเทรด (Trading Plan)**: มีแผนการเทรดที่ชัดเจน รวมถึงการกำหนดจุดเข้าและจุดออกของการลงทุน

   - **การใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง**: ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น Stop Loss, Trailing Stop, Position Sizing เพื่อควบคุมความเสี่ยง


### ตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบ:

1. **นักลงทุนที่เน้นกำไร (Profit-Focused Investor)**:

   - ซื้อหุ้นโดยมองหากำไรสูงสุดเป็นหลัก

   - อาจละเลยการจัดการความเสี่ยง ทำให้เกิดการขาดทุนมากเมื่อการลงทุนไม่เป็นไปตามคาด


2. **นักลงทุนที่เน้นความเสี่ยง (Risk-Focused Investor)**:

   - ก่อนซื้อหุ้นจะคำนึงถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อน โดยตั้ง Stop Loss ที่ระดับราคาที่ขาดทุนยอมรับได้

   - มองหาการลงทุนที่มีโอกาสกำไรสูง แต่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดีเยี่ยม


### การใช้ตัวอย่างในชีวิตจริง:

1. **การประเมินขอบเขตการขาดทุน**:

   - สมมติว่าคุณมีเงินลงทุน 100,000 บาท และยอมรับได้ว่าขาดทุนไม่เกิน 5,000 บาท (5%)

   - เมื่อคุณพบหุ้นที่สนใจ คุณจะตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 5% ต่ำกว่าราคาซื้อ


2. **การวางแผนการเทรด**:

   - คุณวางแผนที่จะซื้อหุ้น A ที่ราคา 50 บาทต่อหุ้น

   - คุณกำหนดจุด Stop Loss ไว้ที่ 47.5 บาท (ขาดทุน 5%)

   - ถ้าราคาหุ้นลดลงถึง 47.5 บาท คุณจะขายหุ้นทันทีก่อนที่จะขาดทุนมากกว่านี้


3. **การใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง**:

   - นอกจาก Stop Loss คุณยังอาจใช้ Trailing Stop เพื่อเลื่อนจุด Stop Loss ขึ้นเมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ทำให้ล็อคกำไรได้หากราคาหุ้นกลับตัวลง

   - ใช้ Position Sizing โดยกำหนดว่าจะลงทุนในหุ้นตัวนี้เพียง 10% ของพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง


### สรุป:

ปรัชญานี้เน้นการจัดการความเสี่ยงเป็นหลักในการเทรดหุ้น โดยการคำนึงถึงการขาดทุนที่ยอมรับได้ก่อนที่จะมองหากำไร การตั้งจุด Stop Loss และการใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนจากการขาดทุนมากเกินไป ทำให้นักลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว






*** คลังความรู้การเทรดออนไลน์ ชมฟรี 1000++ คลิป เหมาะสำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่มากที่สุดครับ

https://www.zyo71.com/p/index-of-zyo.html


*** (อ่านฟรี!) คลังความรู้เรียนเทรดหุ้น 600 ++ บทความ

https://www.zyo71.com/p/index.html

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

กราฟหุ้น GFPT ล่าสุด

$BMNR ทำธุรกิจอะไร? จุดแข็ง/จุดอ่อน และตัวเร่ง

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

เส้น EMA ที่เทรดเดอร์เทพนิยมใช้

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า