ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล

Image
ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล แล้วลองผลักน้ำจากฝั่ง ทำคลื่นดันกลับเข้าไปหาทะเล สร้างคลื่น สู้กับทะเล ลองทำดู ทั้งคลื่นลูกเล็ก และคลื่นลูกใหญ่ คุณจะพบว่า ไม่ว่าคุณจะสร้างคลื่นดันกลับไปในรูปแบบไหน คุณจะไม่มีทางชนะคลื่นจากทะเลได้เลย  ไม่มีทาง ความจริงที่คุณได้จากเรื่องนี้คือ "ตลาดจะถูกเสมอ" . Market Wizards ยอมรับตรงกันว่า "ตลาดจะทำในสิ่งที่มันอยากจะทำ" พวกเขาไม่เคยหัวเสียกับตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) พวกเขาไม่เคยโทษตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) . พวกเขาแค่ยอมรับว่าตลาดจะทำในสิ่งที่มันจะทำ พวกเขาแค่ยอมรับว่าเขาไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ จากนั้นสิ่งที่พวกเขาทำก็คือ ๑) อ่านตลาด ๒) แยกแยะความเสี่ยงกับโอกาสให้ได้ ๓) หาโอกาสทำเงินเมื่อตลาดให้โอกาส และอยู่เฉย ๆ ถือเงินสดเมื่อตลาดเป็นความเสี่ยง ๔) คิดก่อนเสมอว่า "ถ้าตลาดไม่ให้เงิน(เทรดขาดทุน) ฉันจะยอมเสียกี่บาท" การเอาตัวรอด คือเป้าหมายแรกของยอดนักเทรด เพราะคิดแบบนี้...ไม่ว่าตลาดจะร้ายแค่ไหน ยอดนักเทรดก็จะรอดเสมอ #จิตวิทยาการเทรด #ปั้นพอร์ต #วินัยนัก

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ


(ขอแนะนำงานเขียนใหม่ล่าสุดครับ)

๑. เล่มนี้จะเปิดเผยอีกด้านของการเทรดแนวเทคนิคอล
จากมุมมองของนักเทรดประสบการณ์ 10-40 ปี
ว่าเขามองการวิเคราะห์ทางเทคนิคว่ายังไงบ้าง มีจุดแข็งอยู่ตรงไหน?
อะไรคือจุดอ่อนของเทคนิคอล แล้วจะใช้งานมันยังไงเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด?
๒. ทำไมทั้งที่ใช้อินดิเคเตอร์ตัวเดียวกัน หรือใช้ Price Pattern ก็ตัวเดียวกัน
...แต่ทำไมนักเทรดมือโปรได้กำไรสม่ำเสมอ?
...ทว่ามือใหม่กลับเอาตัวไม่รอด...ขาดทุนซ้ำซาก?
ปัญหามาจากเทคนิคอล? หรือมาจากส่วนอื่นกันแน่?
๓. นำเสนออีกมุมของเทคนิคอล ที่ไม่มีใครบอกคุณตรง ๆ ว่าแท้จริงแล้วเทคนิคอล
...เทคนิคอลไม่ได้สวยหรู ไม่ได้มหัศจรรย์หรือเป็นสูตรวิเศษอะไรเลย?!
... มือโปรไม่ได้มองแบบที่มือสมัครเล่นมองเลยแม้แต่น้อย!!
๔. ไม่เหมาะสำหรับคนที่บูชาเทคนิคอลแบบงมงาย
...ไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรวยเร็ว ๆ จากการเทรด
... แต่เหมาะสำหรับคนที่อยากใช้เทคนิคอลให้ถูกต้องแบบที่มือโปรเขาใช้กันเป็นบรรทัดฐานครับ
eBook :  การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักเทคนิคอลมือโปร ประสบการณ์ 10 ปี++ อยากบอกมือใหม่ รู้ก่อน...รอดก่อน มีขายที่ mebmarket นะครับ  ตามลิงค์นี้นะ http://bit.ly/436mRyO


ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนถึง Dan Zanger ที่ใช้ความรู้ของ Wyckoff ในการทำเงิน เลยมีอีกบทความที่ต่อเนื่องกันมาเพิ่มเติม ซึ่งเชือว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วเพราะเป็นความรู้พื้นฐานของการเก็งกำไร ก็ถือเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนก็แล้วกัน









********
แนะนำบทความรวมคลิป = คอร์สหุ้นออนไลน์ 
ชมฟรีครับ ที่ช่องยูทูปของ zyo


***********

Wyckoff Method เป็นการนำเสนอภาพของวงจรการทำราคาหุ้น เริ่มตั้งแต่ สะสม-ไล่ราคา-แจกจ่าย-ทุบ แล้วกลับไปเริ่มที่ สะสมเพื่อไล่ราคาอีกครั้ง

เพราะคุณ Richard D. Wyckoff เจ้าของทฤษฎีเขามองว่า การเล่นหุ้นก็เหมือนกับธุรกิจซื้อมาขายไปดีๆนี่เอง คือกว้านซื้อของราคาถูกๆเอาไว้เยอะๆเพื่อเก็บเอาไปขายในตอนที่ราคาแพงๆ โดยสิ่งที่จะทำให้ของราคาแพงก็คือ "ข่าว" เพราะคนจะมีความต้องการซื้อมากก็จะไล่ราคากัน

ดังนั้น main idea ของทฤษฏีนี้ก็คือการทำความเข้าในช่วง "สะสม" หรือ Accumulation เป็นหลัก
เพราะมันเป็นสาเหตุ(Cause) อันจะนำไปสู่ผล(Effect)คือ ไล่ราคาและแจกจ่าย
อันเป็นหนึ่งในกฎพื้นฐาน 3 ข้อ ดังนี้



กฎพื้นฐาน 3 ข้อของ Wyckoff
1. กฎของ Demand และ Supply เพื่อบอกทิศทางของราคา ถือเป็นหัวใจของทฤษฎีนี้
ทิศทางที่ว่านี้ก็คือ
ราคาขึ้นหมายความว่า Dmand > Supply ความต้องการซื้อมากกว่าความต้องการขาย
หากราคาลงก็หมายความว่า Supply > Demand ความต้องการขายสูงกว่าความต้องการซื้อ

2. กฎของเหตุและผล (Cause & Effect) ช่วยให้เทรดเดอร์วัดเป้าหมายราคาได้(โดยการใช้ point & figure chart -อันนี้ไม่ขออธิบายเพิ่มเพราะไม่เคยใช้) รวมถึงการประเมินศักยภาพของแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
กฎนี้จะช่วยให้มองเห็นพลังของการสะสมหุ้น(accumulation) หรือแจกจ่ายหุ้น(Distribution) ที่เกิดในกรอบราคา (TR) และการทำงานของพลังที่ว่านี้ออกไปเพื่อให้เกิดแนวโน้มการเคลื่อนไวของราคาให้เป็นขาขึ้นหรือลง

3. กฎของความพยายามเทียบกับผลงาน (effort versus result) เพื่อช่วยเตือนภัยล่วงหน้าว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มอันไกล้
ซึ่งความแตกต่างของราคากับวอลุ่มมักจะส่งสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มได้ ตัวอย่างเช่น  เมื่อมีวอลุ่มการซื้อขายสูงมากๆ(ความพยายามสูง)แต่ได้แท่งราคาที่แคบมาก หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดหลังจากที่ราคาวิ่งขึ้นมาพักใหญ่ๆจากนั้นราคาก็มีการย่อ-แต่ไม่สามารถเด้งขึ้นไปทำนิวไฮได้ หลังจากนั้นเกิดแท่งราคาแคบแต่วอลุ่มออกสูงปรี๊ด ก็อาจสื่อว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนทิศอีกในไม่ช้า


ช่วงของการสะสม(Accumulation) มี 5 Phase ดังนี้

Phase A เป็นช่วงของขาลงเฮือกสุดท้าย
PS: อยู่ในช่วงที่ตลาดยังลงต่อ โดยก่อนหน้านี้ supply หรือความต้องการขายยังมีอยู่ แต่ก็เริ่มน้อย ต่อมาราคาหยุดลงเพราะแรงซื้อชนะ จึงเด้ง กลายรูปแบบของแนวรับ PS (preliminary support) แต่เพราะการเด้งขึ้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น

SC: จากนั้นราคาก็ลงแรงและหนักมาก จนกลายเป็น selling climax (SC) ซึ่งถ้าดูกราฟแท่งเทียนหรือบาร์ชาร์ทจะเห็นชัดว่าราคาลงเป็นแท่งแดงยาวและวอลุ่มก็สูงมากสืบเนื่องมาจากการขายของรายย่อยไปให้กับนักลงทุนมืออาชีพ

AR: วันต่อมาเมื่อแรงขายหมดลงหรือแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนมากขึ้นก็จะทำให้เกิดช่วง automatic rally (AR) คือราคาเด้งขึ้นเพราะแรงซื้อชนะ โดยความต้องการซื้อนั้นอาจมาจากคนที่ชอร์ตหุ้นตั้งแต่ต้นทางได้กลับมาซื้อหุ้นคืน

ST: เมื่อมีเด้งขึ้นก็ย่อมเป็นโอกาสของคนที่อยากขาย ซึ่งอาจจะขายไม่ทันตอน panic หรือตัดใจขายไม่ลงในตอนนั้น หรือคนที่ซื้อได้ที่ราคาต่ำสุด หรืออาจจะรู้ว่ามันต้องมีเด้งให้ขาย ก็แย่งกันปล่อยของส่งผลให้เกิดแรงกดราคาให้ลงกลับไปหาโลว์เดิมที่เกิด panic



การย่อกลับลงไปนี้เรียกว่า Secondary test (ST) 

ซึ่งมันจะเป็นชื่อนี้จริงๆก็ต่อเมื่อแรงขายน้อยลงกว่าตอน panic และแท่งราคาก็สั้นกว่า ที่สำคัญคือราคาต้องปิดเหนือหรือเท่ากับ SC ด้วย

แต่ถ้าหาก ST ลงไปต่ำกว่า SC ก็แสดงว่าราคาทำโลว์ใหม่นั่นจะส่งผลให้การรวบรวมหุ้นต้องยืดออกไปอีกพักหนึ่งเพราะแรงขายยังไม่หมดกำลัง

ช่วงราคาระหว่างจุดสูงสุดของ AR ลงไปจนถึงจุดต่ำสุดของ SC หรือ ST นี่แหละที่เราเรียกว่า Trading Range (TR) ซึ่งเราจะใช้เป็นกรอบของการสะสมหุ้นสำหรับช่วงต่อไป

บางครั้งขาลงอาจจะจบแบบไม่ต้องมีแท่งแดงยาว วอลุ่มสูงปรี๊ดก็ได้ แต่มันก็ต้องมี PS, SC, AR และ ST อยู่ดี เพราะว่ากรอบราคาลักษณะนี้มันจะเป็นโครงสร้างของการเข้าสะสมหุ้นของรายใหญ่หรือสถาบันในเฟสต่อไป

ส่วนกรอบของการสะสม(TR)รอบใหม่(ซึ่งเกิดในช่วงขาขึ้นระยะยาว) เราจะไม่เห็นจุดที่เป็นตัวแทนของ PS, SC และ ST ได้ชัดเจนเท่าเฟส A  แต่มันก็จะออกไปในแนวทางคล้ายกัน โดยจะสะสมเพื่อรอขายมากกว่า

ส่วนใน เฟส B-E กรอบการสะสมจะคล้ายกับ A เพียงแต่มักจะใช้เวลาสั้นกว่าและการแกว่งของราคาแคบกว่า


Phase B เป็นช่วงที่เรียกว่า Building a Cause คือ สร้างเหตุ(สะสมหุ้นราคาถูกให้มากที่สุด) เพื่อให้เกิดผล(ขาขึ้นรอบใหม่)

ในเฟสนี้, จะเป็นพื้นที่ของเหล่าสถาบันหรือรายใหญ่เงินหนา ที่จะเข้ามาสะสมหุ้นราคาถูกกันเพื่อจะเก็บไว้รอขายในช่วงขาขึ้น เพราะเป็นช่วงที่เขาชิงแย่งของถูกกันมันจึงมักจะใช้เวลานานอย่างเห็นได้ชัด(บางตัวก็เป็นปีหรือมากกว่านั้น) ความพิเศษของช่วงนี้ก็คือเป็นโซนของภาวะ “ลับ ลวง พราง” คือมีทั้งเบรคหลอก เขย่าให้หลุดแนวรับ(โลว์เดิม)แล้วเด้งกลับเป็นประจำ หรือไม่ก็แช่ไม่เล่นแบบไม่สนใจตลาด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ “ฉันจะเอาของถูกจากมือแกให้มากที่สุด” ด้วยการทำให้กลัว โลภ และอึดอัด จนต้องคายของออกมา

บางคนอาจมองว่าเจ้ามือต้องเล่นทุกวันทุกจังหวะ ซึ่งบางทีก็ไม่จำเป็นหรอก อยู่เฉยๆก็มีคนขายหุ้นให้ทุกวัน  เพราะแค่ตลาดแดงหน่อยขี้คร้านรายย่อยก็แย่งกันขายหนีตายกันเอง หรือตลาดเขียวหุ้นไม่วิ่งรายย่อยขี้เบื่อก็ขายออกแบบรำคาญก็มีประจำ ส่วนเจ้ามือก็นั่งยิ้มรอรับหุ้นราคาถูกอย่างเดียวก็มี

ช่วงแรกๆของ Phase B นี้, ราคาจะสวิงแรงมาก วิ่งขึ้นลงในกรอบกว้าง ด้วยวอลุ่มซื้อขายที่สูง เพราะสถาบันหรือรายใหญ่ต้องการเขย่าเพื่อเก็บหุ้นที่กระจายอยู่ในมือรายย่อยใจฝ่อไปไว้ในคลังให้มากที่สุด
กระนั้น,เมื่อราคาสวิงลง-วอลุ่มก็ลดลงด้วย ต่อมาเมื่อพบว่าความต้องการขาย (supply) เริ่มร่อยหรอ(ราคาลงวอลุ่มลด-ไม่มีใครขาย) ก็พร้อมที่จะข้ามไป Phase C


Phase C เป็นช่วงของการทดสอบแรงขายอย่างหักหาญแล้วล่ะ เพื่อที่จะรับซื้อหุ้นที่ยังมีความอยากขายเหลืออยู่ในตลาด (supply testing) คนที่ทดสอบก็คือรายใหญ่/สถาบัน หรือใครก็ตามที่เป็น Smart money ที่ท้าทายแบบนี้ก็เพื่อทำให้แน่ใจครั้งสุดท้ายว่าหุ้นพร้อมขึ้น
พูดง่ายๆคือ ก่อนหน้านั้น แช่ก็แล้ว กดหุ้นให้ลงจนหลุดทะลุโลว์เดิมลง (spring) ก็ไม่ค่อยมีใครอยากขายเลย วอลุ่มน้อยมาก

Spring ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบที่สำคัญ หน้าตาของมันก็คือ-ราคาถูกกดลงไปจนหลุดแนวรับหรือโลว์เดิมและก็จะเด้งกลับขึ้นมาวิ่งในกรอบสะสมได้อีกในระยะเวลาสั้นๆ มันเป็นตัวอย่างของกับดักหมี-เพราะการที่หุ้นโดนขายลงไปจนหลุดแนวรับหรือโลว์เดิมนั้น มันเป็นสัญญาณของขาลงชัดเจน
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว, อาการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของขาขึ้นต่างหาก มันเป็นกับดักครั้งสุดท้ายที่จะเขย่าคนที่อยากขายให้คายหุ้นออกก่อนเอาจริงนั่นเอง

ไม่เพียงแต่แนวรับทีจะถูกทดสอบ แต่แนวต้านก็โดนเช่นกัน เขาจะไล่ราคาจนทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างสวยงาม แต่จากนั้นอีกไม่กี่วันก็โดนทุบให้ราคาลงมาอยู่ในกรอบเหมือนเดิม(ที่หลายคนเรียกว่าเบรคหลอกนั่นแหละ)

ซึ่งการกระทำของ smart money แบบนี้มักจะสร้างความหงุดหงิดแก่รายย่อยมาก คือซื้อตอบเบรคแล้วโดนกดให้ไปขายตอนที่หลุดโลว์ นับเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาก จึงทำให้คนไม่ทันเกมส์เกิดความเกลียดหุ้นและสาปส่งเจ้ามือกันใหญ โดยหารู้ไม่ว่านี่เป็นหนึ่งในขึ้นตอนเขย่าคนใจฝ่ออกจากตลาดครั้งท้ายๆแล้ว

ในทางทฤษฎีของ Wyckoff แล้ว, การเขย่าหรือ spring นี้จะเป็นการทดสอบแรงขาย ซึ่งหากสำเร็จ คือไม่มีการ panic ขายตาม ก็หมายความว่าการทดสอบนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะแสดงให้เห็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว

การเกิดวอลุ่มน้อยๆในตอนเขย่าหรือ spring จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าหุ้นตัวนั้นพร้อมขึ้นแล้ว และถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเข้าซื้อเพื่อกินคำโตรอบใหญๆ

ส่วนการปรากฎตัวของ SOS จะเกิดขึ้นหลังจาก spring ภายในเวลาที่ต่อเนื่องกัน แต่ถ้าการทดสอบ supply ยังไม่สำเร็จ คือยังมีแรงขายสะสมอยู่อีกมาก ก็จะไม่เกิด spring นั่นหมายความว่า Phase C ยังทำไม่ได้


Phase D ถ้าเราวิเคราะห์ถูก, สิ่งที่จะเกิดขึ้นเพื่อแสดงออกว่าความต้องการซื้อเหนือกว่าความต้องการขาย-ก็คือการเกิดแท่งเขียวยาวและวอลุ่มก็ต้องสูงด้วย(SOS)
และจากนั้นเมื่อราคาวิ่งแรง(เหตุ)ก็ต้องมีแรงขายทำกำไร(ผล)ทำให้เกิดการขายทำกำไร ราคาก็ย่อ(เกิดเป็น LPS)ที่มีลักษณะแท่งราคาสั้นๆและวอลุ่มน้อยๆ(ลดลง)
ถ้ายังไม่เห็นลักษณะราคารูปแบบนี้แล้วก็ให้อยู่เฉยๆ อย่าเข้าไปเล่น แต่ให้เฝ้าดูอย่างไกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจจริงๆว่าราคามันเคลื่อนไหวขึ้นอย่างแข็งแรงตามลักษณะของขั้นตอน Markup อย่างแท้จริง เมื่อมั่นใจว่าใช่-ก็ให้ซื้อเพิ่มได้

การที่จะเป็น Markup อย่างแท้จริงก็คือราคาต้องทะลุผ่าน TR (แนวต้านของกรอบสะสม) ขึ้นไปได้ด้วยวอลุ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากๆ (50% ขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดี) และที่สำคัญหลังจากที่ราคาวิ่งแรงๆก็จะถูกขายทำกำไรตามธรรมชาติของมัน ซึ่งช่วงนี้ก็สำคัญคือมันย่อลงไม่ลึก(สามารถหลุดแนวต้านเดิมได้)และวอลุ่มต้องลดลงจากตอนที่ breakout อย่างชัดเจน ถ้าเป็นตามนี้คุณก็จะได้จุดซื้อที่ดีคือตอนที่มันเด้งขึ้นจากการย่อแล้วสามารถทะลุแนวต้านของกรอบสะสมเดิมขึ้นไปได้อีกครั้งนั่นเอง


Phase E คือตอนที่ราคา breakout วิ่งผ่าน TR ขึ้นมาได้แล้ว มันเป็นช่วงที่ความต้องการซื้อเอาชนะความต้องการขายได้อย่างขาดลอย และการไล่ราคาก็จะได้รับการรู้เห็นจากทุกๆคนแล้ว การย่อ,การเขย่า จะเกิดขึ้นแต่ใช้ระยะเวลาสั้นๆก็สามารถดีดขึ้นไปทำนิวไฮได้ การพักตัวในช่วงนี้มีเพื่อทำการสะสมครั้งใหม่และก็ขายทำกำไรออกบางส่วนจากรายใหญ่



ข้อมูลเพิ่มเติม
การสะสมในมุมมองของ bid offer https://www.facebook.com/zyoit/posts/732853686841890

รายละเอียดจุดสำคัญของขั้นตอนการสะสมหุ้นตามทฤษฎี Wyckoff
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=873435226117068

สูตรสแกนหา Markup Phase


Wyckoff Method ภาษาอังกฤษ
http://www.readtheticker.com/Pages/IndLibrary.aspx?65tf=84_richard-wyckoff-method



(แนะนำเพิ่มเติม ของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บนี้ครับ






และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

ดูยังไงว่าเป็น Cup with Handle pattern?

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ