จังหวะพักตัว: พื้นที่แห่งโอกาสของนักสวิงเทรด

"จังหวะพักตัว: พื้นที่แห่งโอกาสของนักสวิงเทรด" สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ"   https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9 ในโลกของการเทรด การเคลื่อนไหวของตลาดไม่ได้มีแต่เส้นทางที่ราบรื่น หลังจากราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง (leg up) ตลาดมักจะเข้าสู่ช่วงพักตัว (pullback) หรือการแกว่งตัวแบบไร้ทิศทางชัดเจน (chop and slop) ซึ่งแม้ว่าจะดูเหมือนช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีความแน่นอน แต่นี่คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับนักเทรดสายสวิงที่มีสายตาแหลมคม จังหวะพักตัวคือช่วงเวลาที่ตลาดปรับสมดุล ทดสอบแรงสนับสนุนและแรงต้าน การสังเกตจังหวะนี้อย่างใกล้ชิดช่วยให้นักเทรดมองเห็นรูปแบบที่สามารถนำไปสู่โอกาสการเทรดที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อราคาหุ้นหรือสินทรัพย์เคลื่อนไหวสอดคล้องกับดัชนี (index) และอาจนำหน้าดัชนีในบางจุด เคล็ดลับจากยอดนักสวิงเทรดการมองรอบราคาตลาด 1. ดูรอบของดัชนีตลาด (Price Cycle): การทำความเข้าใจว่าดัชนีอยู่ในช่วงไหนของวัฏจักรราคา เช่น ช่วงขาขึ้น ช่วงพักตั...

34 คำคม ประโยคทองของ John Neff ที่ผมชอบ



มีโอกาสได้เปิดหนังสือ "ลงทุนแบบ จอห์น เนฟฟ์อ่านแบบสแกน คร่าวๆ
ก็พบว่าเป็นหนังสือที่ "ดีมากๆ" เลยทีเดียวครับ โดยจุดแข็งของมัน ดังนี้
๑) เป็นการนำเสนอวิธีคิดของชาวสวนตลาด มองตรงข้ามกับ mass เล่นหุ้นขาลง ว่าเขาหาหุ้นดีที่ตลาดไม่เห็นคุณค่าไม่ให้ราคายังไง (ทำให้นึกถึงวิธีคิดของพี่โจ ลูกอีสานเลย คล้ายกันมาก)
๒) เป็นการมุ่งเน้นลงทุนด้วยวิธีเดียว คือ P/E ต่ำ ที่มีกลยุทธ์หลากหลาย ปรับตัวไปกับแต่ละสถานการณ์ได้อย่างดี และได้กำไร ชนะตลาดได้ตลอด
๓) เป็นการบันทึกการลงทุน ที่ผ่านวัฏจักรตลาด ขาขึ้นรุนแรง ขาลงรุนแรงหลายรอบ มันทำให้เราได้เห็นวิธีการปรับตัว การรับมือกับสถานการณ์ที่ดีสุดและเลวร้ายสุด แบบจอห์น เนฟฟ์ ว่าเขาทำยังไง
๔) หนังสือมีเคสการลงทุนหุ้นสไตล์นี้ที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก
๕) หนังสืออ่านง่ายครับ สไตล์อ่านแล้วฮึกเหิมเหมือน "ตีแตก" มือใหม่อ่านได้สบาย แต่ยิ่งเก๋ายิ่งได้ของ

สรุปคือดีเลยล่ะ ควรอ่าน เห็นว่าตอนนี้ขาดตลาด แต่โรงพิมพ์น่าจะกำลังเร่งผลิตอยู่
ท่านสามารถตามวันเวลาจำหน่ายได้ที่เว็บหรือเพจ investing.in.th นะครับ




เข้าประเด็น "คำคม ประโยคทองของ จอห์น เนฟฟ์" ที่ผมอ่านเจอแล้วโดนใจ มีดังนี้

๑) การจะประสบความสำเร็จต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก คุณต้องเต็มใจที่จะหยุดเมื่อสมองของคุณบอกว่าคุณผิด มันไม่ใช่สัญชาตญาณและบ่อยครั้งมันก็ขัดกับสัญชาตญาณ


๒) การใช้วิธีลัดมักนำมาซึ่งความล้มเหลว แต่นักลงทุนส่วนมากเชื่อว่าวิธีทำเงินในตลาดหุ้นคือการใช้วิธีลัดและใช้เวลาสั้นที่สุด อันที่จริงหุ้นเหล่านั้นทำให้นักลงทุนทำกำไรได้มาก แต่ก็ทำให้หลายคนหมดตัวในพริบตาเช่นกัน กำไรง่าย ขาดทุนก็ง่าย



๓) ผมยังจำได้ว่าตัวเองหลงใหลในวิธีการหารายได้จากการที่ไม่ต้องทำงานจริงจัง หรือดูเหมือนไม่ต้องออกแรง คุณเพียงแต่ค้นหาว่าบัตรเข้าชมการแข่งขันเบสบอลเกมไหนที่จะเป็นที่นิยมมากที่สุด แล้วก็ซื้อบัตรก่อนคนอื่นๆ และยิ่งน่าทึ่งกว่านั้นอีกเมื่อคุณซื้อบัตรที่ไม่มีคนสนใจจากนั้นก็สร้างข่าวลือขึ้นซึ่งอาจทำให้บัตรนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น


๔) เงินในวงไพ่ก็เหมือนเงินในตลาดหุ้น คือเงินจะเคลื่อนย้ายไปสู่ผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่เก่งกว่า ซึ่งในกลุ่มนี้มีผลรวมอยู่ด้วย ผมเคยสังเกตคนที่ได้เงินกลับบ้านมักเป็นคนที่เล่นไพ่สม่ำเสมอ และมีความรู้เรื่องแต้มต่อเป็นอย่างดี พวกเขาจะไม่ยอมทุ่มนอกจากจะรู้ว่าตัวเองเป็นต่อ


๕) สิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจก็คือราคาหุ้นจะสะท้อนตัวแปร 2 ตัว คือ
1. กำไรต่อหุ้น 
2. ตัวคูณกำไรสุทธิต่อหุ้นซึ่งตลาดจะเป็นตัวกำหนด
ดังนั้นแม้หุ้น 2 ตัวจะมีกำไรต่อหุ้นเท่ากันที่ 2 เหรียญ แต่หากนักลงทุนเห็นว่าบริษัทหนึ่งจะมีอัตราการเติบโตที่มากกว่า ราคาหุ้นตัวนั้นก็จะสูงกว่า ซึ่งเป็นผลจากตัวคุณกำไรสุทธิต่อหุ้นที่สูงกว่า เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังกำไรในอนาคตจะสูงขึ้น



๖) หุ้นเติบโต(Growth stocks) - หุ้นประเภทนี้คือบริษัทที่มั่นคงและมีอัตราการเติบโตในอัตราสูง เช่น ธุรกิจที่มีอุปสงค์ของสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่ ธุรกิจที่ใช้เทคนิคทางการตลาดระดับสูง ธุรกิจที่มุ่งเน้นวิทยาศาสตร์ หรือธุรกิจที่เน้นการวิจัย
ดังนั้นธุรกิจเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย และมีแนวโน้มที่ผลประกอบการและเงินปันผลจะเติบโตได้ยาวนาน


๗) บริษัทเล็กๆที่มีรายได้ไม่มากมักถูกขายด้วยข่าวของรายได้ที่ดีในอนาคต และดูเหมือนทฤษฎีของคนโง่กว่ากำลังใช้ได้ผล กล่าวคือคุณสามารถทำกำไรได้เสมอ ไม่ว่าคุณจะซื้อหุ้นตอนที่มันแพงเกินไปแล้ว ก็จะมีคนพร้อมจะจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อหุ้นต่อไปเสมอ



๘) หลักการลงทุนของ Winsor มีดังนี้
1. อัตราส่วนราคาต่อกำไร(P/E)ที่ต่ำ
2. อัตรากำไรเติบโตพื้นฐานมากกว่า 7 เปอร์เซ็นต์
3. มีผลตอบแทนเงินปันผลคงที่(และเพิ่มขึ้นในเกือบทุกกรณี)
4. มีความสัมพันธ์ที่ดีของผลตอบแทนโดยรวมกับราคาที่ซื้อสำหรับค่า P/E นั้น
5. สำหรับหุ้นที่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจต้องชดเชยด้วย P/E multiple
6. บริษัทที่มั่นคงแข็งแรงในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต
7. หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี


๘) ก่อนที่คุณจะฝากเงินลงทุนไว้กับความหวังที่จะร่ำรวยในพริบตา 
ขอให้ระลึกด้วยว่าคุณอาจจะไม่เหลืออะไรเลยหรือหมดตัว


๙) แม้คุณจะรู้ว่าควรซื้ออะไร แต่ถ้าไม่รู้ว่าควรจะขายเมื่อไหร่ก็สามารถทำให้กำไรหดหายไปได้


๑๐) นักลงทุนควรตรวจสอบกำไรและข้อมูลต่างๆ ที่บริษัทประกาศออกมาอย่างสม่ำเสมอ
โดยตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลภายนอกที่น่าเชื่อถือหรืออย่างน้อยก็ใช้สามัญสำนึกในการพิจารณา
หากมีความแตกต่างเกิดขึ้นก็พยายามหาคำตอบหรือทำความเข้าใจก่อนลงทุน เพราะเมื่อข้อบกพร่องทางบัญชีปรากฏออกมา กำไรก็จะถูกปรับลดลงอย่างรวดเร็ว และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาหุ้นของบริษัททันที


๑๑) ราคาหุ้นมักจะซื้อขายบนพื้นฐานของอัตราการเติบโตของกำไรที่คาดการณ์


๑๒) ปันผลที่ดีกว่า อย่างน้อยก็ทำให้คุณมีออเดิร์ฟไว้รับประทานเล่นระหว่างรออาหารจานหลัก



๑๓) Winsor จะเลือกหุ้นด้วยหลักการง่ายๆคือ
หุ้นที่มีอัตราส่วนผลตอบแทนโดยรวม หาร ด้วย P/E  แตกต่างจากค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมหรือของตลาดอย่างชัดเจน
หรืออีกนัยหนึ่งเราชอบหุ้นที่มีอัตราส่วนของผลตอบแทนโดยรวม หารด้วย PE สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดประมาณ 2 ต่อ 1


๑๔) ผลตอบแทนโดยรวม จะเป็นตัวบ่งบอก หรืออธิบายถึง อัตราการเติบโตที่เราคาดหวัง 
ซึ่งก็คือ อัตราการเติบโตของกำไรประจำปี + ผลตอบแทนจากเงินปันผล
หากอัตราการเติบโตไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ไม่ว่าจะจริงหรือคาดคะเน
นักลงทุนที่มีเหตุผลก็คงจะไม่ซื้อหุ้นนั้น



๑๕) การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ส่วนใหญ่เป็นการประเมินค่าผลการประกอบการของบริษัทเปรียบเทียบกับตัวอ้างอิงของอุตสาหกรรมหรือตลาด หากปัจจัยพื้นฐานนั้นสอดคล้องกับค่าอ้างอิงก็จะยืนยันความน่าสนใจของหุ้น P/E ต่ำนั้น


๑๖) การวิเคราะห์หลักทรัพย์ของผมจะตรวจสอบทั้งกำไรและรายได้จากการขาย ทั้งนี้เพราะ...
1. การเติบโตของกำไรจะเป็นตัวขับเคลื่อน P/E และราคาหุ้น
2. เงินปันผลจะมาจากกำไรสุทธิ
3. การเติบโตของยอดขายจะก่อให้เกิดการเติบโตของกำไร โดยกำไรที่เพิ่มมากขึ้นจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เหรียญ เรียกว่า "กำไรส่วนเพิ่ม" สามารถเป็นหลักประกันในการลงทุน แต่กำไรไม่สามารถเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อยๆโดยไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทที่น่าสนใจจะต้องเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของยอดขาย


๑๗) บริษัทมหาชนจะประกาศยอดขายและกำไรทุกไตรมาส ขอให้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างยอดขายที่เป็นจำนวนเงินกับจำนวนหน่วย ซึ่งในตอนแรกผมชอบจำนวนเงินมากกว่าจำนวนหน่วย สำหรับกำไรจะวัดเป็นจำนวนเงินไม่ใช่จำนวนหน่วย ซึ่งความสัมพันธ์นี้จะสำคัญมาก เพราะจะเกี่ยวโยงถึงราคา ถ้ายอดขายที่เป็นจำนวนเงินเพิ่มมากกว่าจำนวนหน่วยที่ขาย ราคาที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวเพิ่มศักยภาพของราคาที่เพิ่มขึ้น และมักจะก่อให้เกิดโอกาสที่ยอดขายทั้งที่เป็นจำนวนเงินและจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย


๑๘) การลงทุนไม่ใช่ธุรกิจที่ซับซ้อน แต่คนทำให้มันซับซ้อนเอง คุณควรจะเรียนรู้จักสิ่งทั่วไปจนถึงสิ่งที่เป็นตรรกะ เป็นลำดับขั้นตอน และความเป็นเหตุเป็นผล


๑๙) ความคิดเห็นที่เป็นลำดับขั้นตอน ก่อให้เกิดการสังเกตที่เป็นประโยชน์
ซึ่งรวมถึงข้อมูลทั่วไปของบริษัทอุตสาหกรรม หรือทิศทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อบริษัทและอุตสาหกรรม
ตั้งคำถามและหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้
- อะไรทำให้บริษัทมีชื่อเสียง?
- ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตหรือไม่?
- บริษัทเป็นผู้นำอุตสาหกรรมหรือไม่?
- แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร?
- ผู้บริหารมีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์หรือไม่?



๒๐) หากคุณอยากนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน คุณต้องทำการบ้านด้วยตัวคุณเอง 
แต่อย่ารีบร้อน สุดท้ายคุณก็จะสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่ต้องใช้เวลา และหากหุ้นตัวนั้นดีจริงอย่างที่คุณเชื่อ ก็ให้ตั้งราคาซื้อที่ราคาสูงขึ้นประมาณ 25 เซ็นต์ ซึ่งในระยะยาวจะเสี่ยงน้อยกว่า


๒๑) ถ้าคุณทำการบ้านและหาคำตอบที่ถูกต้องได้ คุณก็จะไม่มีทางสิ้นเนื้อประดาตัว


๒๒) การซื้อหุ้นในภาวะกดดัน เป็นเรื่องที่ยิ่งกว่ายาก


๒๓) ตลาดบ้าและไม่มีเหตุผลมาตลอด เนื่องจากนักลงทุนไม่เคยจดจำอดีต


๒๔) ปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมน่าสนใจ
ท่านสามารถถาม ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทนั้นๆ ได้เลย
- อุตสาหกรรมมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง?
- ต้นทุนเป็นอย่างไร?
- ผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมนี้คือใคร?
- คู่แข่งรายใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อตลาด?
- กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเมื่อเทียบกับความต้องการสินค้าเป็นอย่างไร?
- การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่มีความก้าวหน้าอย่างไร?
- ปัจจัยอะไรที่จะมีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร?


๒๕) การตัดสินใจลงทุนที่ยากที่สุดคือ "การตัดสินใจขาย"  คุณอาจจะถูกในขณะที่หุ้นนั้นกำลังเติบโตอย่างมาก แต่หากถือไว้นานเกินไปคุณอาจจะไม่ได้อะไรเลย มีคนจำนวนมากที่ถือหุ้นไว้นานเกินไป เพราะหุ้นเหล่านั้นให้ความมั่นใจกับพวกเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่มที่เห็นตรงข้ามกับตลาด(นักลงทุนส่วนใหญ่)มีทีท่าว่าจะถูก หากพวกเขาตัดสินใจขายก็จะรู้สึกเสียหน้า


๒๖) นักลงทุนจำนวนมากมักจะซื้อหุ้นตอนที่ราคากำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้วยเกรงว่าหากไม่มีหุ้นอยู่ในมือจะพลาดโอกาสในการทำกำไรสูงๆ พวกเขามักจะบอกตัวเองว่า หลังจากวันที่พวกเขาขายแล้วราคาของหุ้นตัวนั้นจะไม่ปรับตัวขึ้นมากนัก คือพวกเขาจะสามารถทำกำไรได้สูงสุด
ซึ่งในทัศนะของผม "ผมคงไม่ฉลาดขนาดนั้น"



(เสริม) ไปเจอสรุปอีกนิดหน่อยจากหนังสือ "สุดยอดนักลงทุนโลก"

๒๗) ถ้าคุณสามารถซื้อหุ้นในขณะที่ปัจจัยลบทั้งหมดเป็นที่รับรู้แล้วและราคาหุ้นก็ตกต่ำ ข่าวดีใดๆ(ที่จะเกิดขึ้น)ก็อาจให้ผลในทางบวกได้อย่างท่วมท้น


๒๘) การตัดสินใจที่ดีคือการเลือกเอาเฉพาะสิ่งที่เป็นโอกาส ส่วนจิตใจที่แข็งแกร่งทำให้คุณสามารถอยู่กับการตัดสินใจนั้นได้ ขณะที่คนอื่นๆตะเกียกตะกายไปอีกทิศทางหนึ่ง สำหรับพวกเราแล้วคนที่น่าเกลียดมักจะสวยงาม


๒๘) สำหรับพวกเราแล้ว, เราควรมุ่งมั่นไปที่จุดแข็งของตัวเอง คือการเอาชนะด้วยการไม่แพ้ นั่นคือพยายามประคองลูกเทนนิสให้อยู่ในเกมให้นานที่สุด และปล่อยให้คู่ต่อสู้พลาดไปเอง



๒๙) หุ้นที่มีค่า PE ต่ำมีพลังหนุนถึงสองทาง
- ทางแรกคือเมื่อตลาดเริ่มตระหนักว่าอุตสาหกรรมถือหุ้นที่ไม่ได้รับความนิยมนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรและก่อนหน้านี้ก็เป็นตลาดเองที่ตอบสนองกับข่าวร้ายมากเกินไป
- ส่วนพลังหนุนทางที่ 2 คือเมื่อบริษัทรายงานกำไรต่อหุ้นสูงขึ้น



๓๐) ยอดขายควรมีการเติบโตเพื่อให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงในระยะยาว ส่วนต่างกำไรที่ดีขึ้นอาจบ่งชี้ว่าบริษัทมีอำนาจการตั้งราคามากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์แข่งขันในตลาดที่ดีขึ้น


๓๑) กระแสเงินสด(ซึ่งเนฟฟ์นิยามว่าเป็นกำไรสะสมบวกด้วยค่าเสื่อมราคา) ควรมีความแข็งแรง เพราะสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคือแผนการลงทุนของบริษัท ควรสามารถจัดหาเงินทุนได้จากภายในบริษัทเอง แทนที่จะต้องพึ่งการกู้ยืมเพิ่มหรือการเพิ่มทุน


๓๑) จุดเริ่มต้นในการหาหุ้นคุณภาพดี PE ต่ำ คือการมองหาจากรายชื่อหุ้นที่ทำจุดต่ำสุดครั้งใหม่ หรือหุ้นที่มีราคาลดลงอย่างมากในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั่นเอง บริษัทเหล่านี้ส่วนมากถูกคาดการณ์ไว้ต่ำและไม่ควรแม้แต่จะเอามาพิจารณาเสียด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตามอาจมีสักหนึ่งหรือสองบริษัทที่ควรค่าแก่การตรวจสอบเพิ่มเติม โดยอาจค้นหาจากรายชื่อหุ้นที่ทำผลตอบแทนต่ำสุด 20 ตัวของวันก่อนหน้าก็ได้


๓๒) หวดบอลให้เต็มเหนี่ยว แทนที่จะมานั่งคาดคะเนจุดสูงสุดของตลาดใน 6-18 เดือนข้างหน้า คุณต้องเข้าทำให้ได้ก่อนฝูงชน ผลตอบแทนที่แย่มักเป็นผลมาจากความเชื่อในทางเทคนิคที่พยายามทํานายจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในชาร์ทหุ้น มันเป็นสมมติฐานที่ว่าราคาหุ้นที่ผ่านมาจะบ่งบอกได้ว่าราคาหุ้นจะไปทางไหน


๓๓) อยู่ให้ห่างๆจากตลาดที่เกินปัจจัยพื้นฐาน อย่าพยายามเล่นเกมใครโง่กว่า ด้วยการซื้อหุ้นแพงเกินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน และหวังว่าจะขายหุ้นให้กับใครบางคนได้ก่อนที่ราคาจะตกลงมา เพราะมันอาจจะจบลงว่า "คนที่โง่ที่สุดก็คือคุณนั่นเอง"


๓๔) มีเพียงเส้นบางๆคั่นระหว่างการเป็นนักสวนกระแสกับการเป็นคนดื้อด้าน ผมสนุกกับโอกาสในการซื้อหุ้นก็จริง แต่เมื่อฝูงชนเป็นฝ่ายถูกผมก็จะยอมรับ
ในที่สุดแล้วคุณก็ต้องจดจ่อที่ปัจจัยพื้นฐานเพื่อที่จะทำกำไร ...นักสวนกระแสที่ดื้อแบบไม่ยั้งคิดต่างเดินไปสู่หายนะ ต่างจากนักสวนกระแสที่ฉลาดซึ่งเปิดใจกว้างเรียนรู้จากเรื่องราวที่ผ่านมาและรู้จักมีอารมณ์ขัน ในเรื่องของการลงทุนอะไรๆก็อาจจะหลุดโลกไปได้รวมถึงแนวทางของนักสวนกระแสด้วย



(แนะนำเพิ่มเติม ของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บนี้ครับ


เข้าไปชม คลิกที่ลิ้งนี้ https://www.youtube.com/channel/UCTDoP5zRI4hRETT_2SSlPag/videos

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

ทฤษฏีวัฏจักรตลาดหุ้น (Market Cycle)