ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล

Image
ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล แล้วลองผลักน้ำจากฝั่ง ทำคลื่นดันกลับเข้าไปหาทะเล สร้างคลื่น สู้กับทะเล ลองทำดู ทั้งคลื่นลูกเล็ก และคลื่นลูกใหญ่ คุณจะพบว่า ไม่ว่าคุณจะสร้างคลื่นดันกลับไปในรูปแบบไหน คุณจะไม่มีทางชนะคลื่นจากทะเลได้เลย  ไม่มีทาง ความจริงที่คุณได้จากเรื่องนี้คือ "ตลาดจะถูกเสมอ" . Market Wizards ยอมรับตรงกันว่า "ตลาดจะทำในสิ่งที่มันอยากจะทำ" พวกเขาไม่เคยหัวเสียกับตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) พวกเขาไม่เคยโทษตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) . พวกเขาแค่ยอมรับว่าตลาดจะทำในสิ่งที่มันจะทำ พวกเขาแค่ยอมรับว่าเขาไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ จากนั้นสิ่งที่พวกเขาทำก็คือ ๑) อ่านตลาด ๒) แยกแยะความเสี่ยงกับโอกาสให้ได้ ๓) หาโอกาสทำเงินเมื่อตลาดให้โอกาส และอยู่เฉย ๆ ถือเงินสดเมื่อตลาดเป็นความเสี่ยง ๔) คิดก่อนเสมอว่า "ถ้าตลาดไม่ให้เงิน(เทรดขาดทุน) ฉันจะยอมเสียกี่บาท" การเอาตัวรอด คือเป้าหมายแรกของยอดนักเทรด เพราะคิดแบบนี้...ไม่ว่าตลาดจะร้ายแค่ไหน ยอดนักเทรดก็จะรอดเสมอ #จิตวิทยาการเทรด #ปั้นพอร์ต #วินัยนัก

จากใจผู้เขียนหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น : Technical Analysis

หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น

ถ้าคุณให้ความสนใจหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น ก็ขอเดาใจว่าตอนนี้ท่านอยากได้ไอเดียในการหาเบาะแสทำเงินจากการอ่านกราฟหุ้นเป็นแน่ ท่านต้องเป็นนักเทรดที่ให้ความสนใจในเรื่องของเทคนิคอล และคาดว่าท่านน่าจะเพิ่งเล่นหุ้นไม่นานนัก อยากได้แนวคิดในการวิเคราะห์กราฟหุ้นจากหนังสือภาษาไทยเป็นหลัก ซึ่งผมคิดว่าตัวเองเดาไม่ผิดไปจากนี้สักเท่าไหร่

ใช่มั้ยครับ ท่านมีคุณสมบัติตรงตามที่ผมมั่วมั้ย?

หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น มีหน้าตายังไง?
เอาจากมุมมองของผมนะ ต้องตอบแบบนี้เลย ผมคิดว่ามันก็คือหนังสือ Technical Analysis นั่นแหละ
เพียงแต่บ้านเรามีชื่อเรียกมันหลายอย่างตามแต่ใครจะสะดวกปาก ก็ถือว่าดี ได้คำที่หลากหลาย

ผมเคยเขียนเรื่องที่คล้ายกันนี้ คือ หนังสือหุ้นเทคนิคhttps://zyo71.blogspot.com/2018/06/blog-post_28.html ที่ว่าด้วยประวัติ ที่มาของหนังสือประเภทนี้ รวมถึงหนังสือสไตล์นี้มีประเภทใดบ้าง ท่านก็สามารถคลิกเข้าไปอ่านได้ครับ

ซึ่งบทความนี้ผมขอฉีกเนื้อหา เพื่อขยายความให้เห็นภาพที่ใหญ่ขึ้นดีกว่านะ จะได้เห็นอะไรรอบด้านมากขึ้น ท่านจะได้เอาข้อมูลไปต่อยอด หาหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้นที่เหมาะกับตัวท่านเอง

เอ...หรือว่าท่านยังไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับสไตล์ไหนเลย?



ถ้าท่านยังไม่เจอสไตล์ไหนเลย ก็ขอแนะนำให้ลองเลือกตัวครับ แล้วก็เอาให้สุด คือทุกอินดิเคเตอร์/สูตรมันทำเงินได้หมดแหละ เพียงแต่ว่ามันต้องมีช่วงจังหวะที่เหมาะกับมันเท่านั้นเอง
ไม่มีอินดิเคเตอร์เทพหรอกครับ ผมบอกไว้เลย มันมีแต่ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งคุณต้องทำความเข้าใจมันให้ลึกซึ้ง และต้องใช้เวลากับมัน

อย่างผมเอง ขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ท่านอ่านก็แล้วกัน
ผมมีอินดิเคเตอร์ที่ใช้ประจำคือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ Moving Averages ใช้ควบคู่กับการดูแท่งเทียน ดูวอลุ่มประกอบนิดหน่อย เบสิคแค่นี้ก็ทำเงินพอได้แล้วครับ



ทำไมถึงทำเงินได้?
ก็เพราะผมโฟกัส มุ่งเน้นไปเล่นเฉพาะหุ้นขาขึ้นเท่านั้นไงครับ ผมไม่คาดหวังหรือบีบบังคับให้ตัวเองเล่นทุกหน้า ทุกเวลา หรือทุกวัน ชอบซื้อแล้วถือดูราคามันวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนมันแสดงออกว่าจบแนวโน้มก็ขายออก หรือถ้าซื้อแล้ว มันไม่ไปต่อ วิ่งสวนทางให้ขาดทุน ผมก็ขายออกเช่นกัน

ผมมีหน้าที่เหมือน QC คัดหุ้นที่เข้าท่า ด้วยเส้นค่าเฉลี่ย และการเคลื่อนไหวที่เข้าสูตร เอามาเข้าพอร์ต จากนั้นก็คอยดูมัน ถ้าดีก็รันเทรนด์ ถ้าทุเรศผมก็ขายทิ้ง

รายละเอียดสไตล์การเทรดของผม ท่านสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่" กับ "หุ้นซิ่ง สวิงเทรด" ได้ครับ ผมปล่อยของแบบไม่มีกั๊กเลยทีเดียว

หนังสือทั้งสองเล่มที่ผมเขียนไปนี่แหละที่เป็นตัวอย่างของ หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น
เพราะมันได้เอากราฟการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต มาชี้จุดเพื่อระบุจุดร่วมให้ท่านเห็น จะได้เป็นข้อมูลให้ท่านใช้ทำเงินเมื่อเห็นหุ้นที่ทำทรงแบบเดียวกันนี้

เทคนิคอล คือการเดาอนาคตจากหลักฐานทางอดีต(ยกเว้นอีเลียตเวฟ)
ถ้าราคาลง ก็จะหาแนวรับเดิม, เส้นค่าเฉลี่ย, trendline ฯลฯ
แล้วคาดว่ามันจะลงไปเด้งที่นั่น
แต่ถ้าหลุด ก็จะหาแนวรับระดับต่อไปเป็นจุดสังเกต


ดูตัวอย่างง่ายๆ กับ SET พอแท่งหลุดแนวรับหนึ่งไปได้ นักวิเคราะห์ทั้งหลายก็จะบอกว่า รอดูแนวรับต่อไปสิ อาจจะเอาอยู่ก็ได้


แต่ถ้าหลุดอีก ก็รอดูแนวรับหรือสถานีถัดไปว่าจะยังไง
นี่คือหลักการของ technical analysis แบบง่ายๆ

ดู SET อีกรอบครับ

ในช่วงปลายปีที่แล้ว SET มันบีบตัวแคบลง ซึ่งถ้าใครเคยเรียนหรือ่านหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น ก็จะสังเกตพบว่า นี่มันทรง triangle นี่นา
มันมีความน่าจะเป็นและโอกาสทะลุขึ้น ถ้ามันวิ่งขึ้น ก็ซื้อตามได้

เมื่อเห็นเบาะแสดั่งนี้ คุณก็จะได้โอกาสทำเงินมาแล้ว


เมื่อราคามันวิ่งขึ้นตามที่คุณเก็งเอาไว้ คุณก็ซื้อตาม
จากนั้นราคาก็วิ่งขึ้นแรงเลย ก็กลายเป็น winning trade ไป

อีกตัวครับ NETBAY

ถ้าดูทรงของการสร้างฐาน ก็ละม้ายกับ inverse head and shoulders ตามตำรา technical analysis
เมื่อคิดว่าใช่ที่ก็รอให้ราคา breakout ไฮเดิมขึ้นไป
ถ้ามันไปได้ ก็ซื้อตาม มันก็ว่งต่อ ทำกำไรให้ท่าน

แต่ปัญหาคือ มันไปไม่สุด วิ่งได้นิดเดียวก็อ่อนแรง กลับตัว
ช่วงที่มันเริ่มกลับตัวนี่แหละ ที่ท่านต้องงัดเอาความรู้จากหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น ว่าต้องขายตรงไหน
ด้วยการดูทรงของมันในอดีต ว่าทุกครั้งที่มันหลุด EMA10 ลงแรงเว้ย ถ้ามันหลุดเส้นนี้ฉันขายออกก่อน
มันก็เป็นส่วนหนึ่งของหลักการวิเคราะห์กราฟหุ้นนั่นเอง

อีกตัว PDI  (เหตุการณ์นี้เกิดนานมาแล้วนะครับ)

เราเห็นว่าทรงมันคล้ายกับ cup with handle นะ
ก็วางระดับราคา ดักไว้เลย ซึ่งตามหลัก ผู้เขียนแนะนำให้ซื้อตอน breakout
แต่คุณเกิดใจร้อน อยากรีบซื้อตอนย่อ ก็กลายเป็นล้มเหลว ต้องขายออก

แต่ถ้าคนใจเย็น รอจนราคา breakout ถ้าไม่เบรค ก็ไม่เล่น


จนกระทั่ง

แต่ต่อมา ราคามันพลิกตัวลงหลุดระดับที่เพิ่ง breakout ไป ซึ่งเป็นต้นทุนของคุณ
อ้าว...มันก็สร้างความกลัวให้คุณสิ เอ๊ะยังไง?
หรือว่า มันจะเป็น double top เพราะแท่งเทียนที่พยายาม breakout ขึ้นไปทำ all time high นั้น มันล้มเหลว หรือ false breakout มันทำให้คุณเริ่มลังเล

นี่คือสภาพหน้างานจริงๆ ที่หุ้นแต่ละตัวก็จะแสดงพฤติกรรมออกมาแตกต่างกันไป
ซึ่งมักจะไม่ค่อยตรงตามหลักทฤษฎี ที่ตำรานำเสนอ นี่คือความยากของการเทรดจริงๆ
ถ้าคุณไม่ลงเงินจริง คุณไม่มีทางรู้สึกแบบนี้ คือมันเกืดความรู้สึกแยกเป็นสอง
๑) กลัวขาดทุน เพราะราคา false breakout
๒) กลัวขายแล้วเด้ง(ยังโลภอยู่) เพราะตามตำราเขาบอกว่าทรงนี้แม่น
ความกลัวมันจะหาเหตุผลให้คุณขาย
แต่ความโลภก็จะหาเหตุผลให้คุณถือ



ดังนั้น คุณต้องหาตัวช่วยไกล่เกลี่ย
คือ แผนการเทรดของคุณ
ต้องกลับไปดูว่า stop loss ของตัวเอง อยู่ที่ระดับเท่าไหร่
อ้อ...เราตั้งไว้ที่ -7% จากจุดซื้อ
ตอนนี้มันลบแค่ 3%  เฮ้ย..ยังห่างมาก ลองทนดูอีกสักนิดซิ


ปรากฎว่ามันเด้ง!! ก็เบิกบานสิ กำไร คุณร้องแรกแหกกระเชออวดเพื่อน ใน pantip
 รวยๆๆๆๆ ฉันจะทนรวย

แต่....

พระเจ้า...ท่านช่างใจร้ายยิ่งนัก
จู่ๆ ราคาก็เปิด gap ลง กำไรที่เคยได้ก็หายวับไปกับตา
คุณรู้สึกเหมือนกับเจอฝันร้าย

ทำยังไงดี?
ความรู้สึกแตกออกมาเป็นสองอีกแล้ว
๑) กลัว กลัวว่ามันจะลงต่อ เหตุผลคือ มันเปิด gap นะเว้ย นี่เป็นสัญญาณร้ายชัดๆ
๒) โลภ บอกว่า ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งขายสิ มันอาจจะเด้งกลับก็ได้ เสียดายกำไร 29% ที่เพิ่งได้มาจริงๆ
คุณเริ่มกลับไปดูแผนการเทรดอีกครั้ง ระดับตัดขาดทุน -7% หรือว่าจะทนดูให้มันถึงตรงนั้นก่อน
วัดดวงมันไปเลย

ตรงนี้แหละครับ ที่ หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น บอกท่านไม่ได้ เพราะท่านต้องใช้ประสบการณ์ของตัวเองแบบจริงจังแล้ว ชั่งน้ำหนักว่าเหตุผลไหนดีกว่า


จากนั้นก็....ลงเละ ครับ

คุณก็เพิ่งนึกขึ้นออกได้ว่า หนังสือ "หุ้นซิ่ง สวิงเทรด" บอกไว้นี่นา ว่าถ้าราคาวิ่งถึง 20% ควรทยอยขายได้แล้ว แต่เราเสือกไม่ใส่ใจ เพราะโลภ อยากได้เป็นเด้ง
ก็เกิดอาการ "รู้งี้" ขึ้นมา

นี่แหละครับ คือจุดอ่อนของ หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น
คือเขาไม่ได้บอกวิธีจัดการกับอารมณ์หน้างาน
การที่เรามองสถานการณ์ด้วยความเป็นกลาง(คือไม่มีหุ้น) กับใจที่เปี่ยมไปด้วยอคติ(เพราะมีหุ้น)
มันคนละเรื่องกันเลย

ถ้าคุณไปปรึกษาเซียนหุ้นออนไลน์ เขาจะบอกว่า ทำไมไม่ขายตรงโน้นตรงนี้ สัญญาณมันบอกชัดว่าจบ
เขาก็พูดอวดภูมิข่มท่านไปเรื่อย เพราะมองจากมุมของคนนอกสนาม ดูไฮไลท์หลังจบเกม
จะวิเคราะห์ชี้โน่นชี้นี่เป็นถูกทุกเหตุผล
ซึ่งถ้าให้มันไปอยู่หน้างานแบบเรา มีเงินอยู่ในหุ้นตัวนั้นมากพอ ก็คงมีสับสนไม่ต่างกันหรอก



ดังนั้น...
ประเด็นที่ผมอยากนำเสนอ แลกเปลี่ยนกับท่านคือ
หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น เขาให้แค่ข้อมูลเท่านั้น เปรียบเสมือน "เครื่องมือจับปลา"
ไม่ได้ให้ "ปลา" กับท่าน
อย่าเข้าใจผิด

คุณต้องเอาเครื่องมือนั้นไปหาทำเล ใช้เหยื่อ และเย่อกับปลา "ด้วยแรงและสมองของคุณเอง"
ไม่มีใครช่วยคุณได้ คุณทำเอง ก็รวยเอง และอาจจะซวยเอง คนเขียนไม่รู้เรื่องอะไร
หน้าที่ของคุณคือ รักษาผลประโยชน์ของตนเองให้ดีที่สุด
วางแผนให้รัดกุม ทางหนีทีไล่ ทำให้เนียน

เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น
อย่างเคส PDI ก็ชัดเจนมาก

ความผิดพลาดไม่ได้ทำให้ค่าของคุณลดลงหรอกนะครับ
มันกลับสร้างมูลค่าให้คุณเสียด้วยซ้ำ เพราะคุณจะได้ชุดการตัดสินใจที่พิเศษกว่าคนอื่น
ถ้าเจอหุ้นที่ทำทรงแบบนี้อีก คุณก็จะรู้วิธีว่าควรทำอย่างไร

ข้อมูลที่เราได้อ่านจากหนังสือ มันเพอร์เฟค ดูง่ายไปหมดแหละครับ
แต่มันจะเป็นคนละเรื่องกับการเทรดจริง



หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น คือความคาดหวังว่า History จะ Repeat Itself
คือเราไม่รู้อนาคตของราคาว่าจะไปทางไหน ยังไง แค่ไหน
ถ้าจู่ๆเกิดพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล สิ่งยึดเหนี่ยวของเรา ในการช่วยตัดสินใจ ก็คือดูการกระทำในอดีต

มันเป็นหลักการที่เขาเรียกว่า "History Repeats Itself" คือเราไม่รู้อนาคตว่าราคาหุ้นจะวิ่งไปทางไหนกันแน่อย่างนอน ดังนั้นสิ่งที่เราพอจะทำได้ก็คือ ใช้เบาะแสที่เราเห็นในขณะนั้น เป็นข้อมูลคาดเดาว่าราคาหุ้นมีความน่าจะเป็นว่ามันควรจะวิ่งไปทางไหน ถ้าใช่ ก็ซื้อ ถ้าไม่ใช่ก็เฉยๆ

ตรงกับคำของพี่มาร์ค มิเนอร์วินี บอกไว้ว่า "หัวใจหลักคือ ไม่ต้องรู้ชัดว่าหุ้นจะทำอะไรต่อ แต่รู้ว่าหุ้นควรทำอะไร จากนั้นก็เป็นเรื่องของการพิจารณาว่ารถไฟตรงเวลาหรือไม่"
คำว่า "รถไฟตรงเวลา" นี่แหละครับ คือ history repeats itself

ดังนั้น ถ้าเราเอาความเชื่อเรื่อง "รถไฟตรงเวลา" ไปใช้กับ "หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น" มันก็สนับสนุนกันได้อย่างพอดี
ประโยชน์จากหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น คือเราจะได้รู้จักทรงของราคาหุ้นที่เกิดซ้ำ เห็นบ่อย ผู้เขียนเอามานำเสนอให้ท่านเก็บเป็นข้อมูล เอาไว้ใช้ ถ้าเห็นทรงคล้ายกันนี้ก็เป็นโอกาสทำเงิน เพราะมันมีความน่าจะเป็นที่จะวิ่งไปตามตำรา

ย้ำนะครับว่า "ความน่าจะเป็น" มิใช่ "ต้องเป็น"
ถ้าคิดว่ามันต้องใช่ 100% คุณมีโอกาสพัง ขาดทุนเละ

เพราะเราไม่รู้อนาคต ว่ามันจะเป็นยังไง
เราบังคับราคาไม่ได้
History อาจไม่ repeat ก็ได้เช่นกัน

ดังนั้น ต้องระวังทางผิดพลาดด้วยครับ
ใช้หลักของพี่มาร์คเลย แกบอกว่า "เริ่มต้นจาก ผมขาดทุนได้เท่าไหร่ ไม่ใช่ ผมกำไรได้เท่าไหร่"
"เป็นนักฉวยโอกาสที่ดุดันแต่ไม่ยอมเสี่ยง ดุดันในเรื่องของผลตอบแทนที่เป็นไปได้
ในขณะเดียวกันก็ระวังมากที่สุดในเรื่องความเสี่ยง"



ประเภทของหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น
๑) Trend line : เป็นการนำเสนอแนวรับของแนวโน้มด้วยการลากเส้นพาดผ่านจุดต่ำสุด ซึ่งสิ่งที่เขาเอามานำเสนอก็เป็นเคสที่สำเร็จในอดีตทั้งนั้น (หนังสือชื่อ Trend Line ง่ายจัง, เทพ เทรนด์ไลน์ ฯลฯ)
๒) แนวโน้มขาขึ้น : เป็นการนำเสนอวิธีการดูแนวโน้มขาขึ้น จุดเริ่มต้นดูตรงไหน มีเบาะแสให้รู้ก่อนมั้ย เช่นดู price pattern, การพลิกข้ามเส้นค่าเฉลี่ยของแท่งราคา, การเปิด gap ฯลฯ (หนังสือชื่อ หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่, หุ้นซิ่งสวิงเทรด ฯลฯ)
๓) MACD : อินดิเคเตอร์ตัวนี้ ส่งสัญญาณซื้อ/ขายเมื่อเส้นตัดกัน หนังสือก็จะยกเคสต่างๆที่เส้นตัดกันแล้วสำเร็จมาให้ดู แบบนี้สำเร็จ เกิดในช่วงไหน รูปแบบการเคลื่อนไหวหน้าตาต่างๆ (หนังสือชื่อ มหัศจรรย์กราฟหุ้น Magic MACD ฯลฯ)
๔) แท่งเทียน : เป็นศาสตร์โบราณที่ยังใช้ดีจนถึงปัจจุบัน นำเสนอรูปทรง หน้าตาของแท่งเทียนต่างๆว่ามันสื่ออารมณ์แบบไหน กระทิงหรือหมี จุดซื้อใช้แท่งแบบไหนจึงจะเหมาะ ขายดูแท่งแบบไหน (หนังสือ วิเคราะห์เจาะลึกหุ้นด้วย Candlestick, กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น, พิชิตหุ้นด้วยกราฟแท่งเทียน, กราฟแท่งเทียน ชาร์ทแพทเทิร์น, อาวุธลับซามูไร, และหุ้นซิ่ง สวิงเทรด ฯลฯ)
๕) เส้นค่าเฉลี่ย : ยกเคสการเป็นแนวรับแนวต้านของเส้นค่าเฉลี่ย, ใช้เส้นค่าเฉลี่ยดูแนวโน้ม, เส้นค่าเฉ,ี่ยที่มีนัยยะต่อแนวโน้ม (หนังสือชื่อ CANSLIM คัดหุ้นชั้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม, หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่ และ หุ้นซิ่ง สวิงเทรด ฯลฯ)
๖) อีเลียตเวฟ : เป็นศาสตร์ชั้นสูง เพราะมีความซับซ้อนมาก แต่พวกเขาก็นำเสนอด้วยการวิเคราะห์ย้อนหลังว่าแบบนี้และเป็นเวฟหนึ่ง เวฟสอง เวฟสาม สี่ ห้า a,b,c,d เป็นศาสตร์ที่ใช้เพื่อทำนายอนาคต ส่วนจะแม่นหรือไม่นั้นผมไม่รู้ แต่เช็คจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วยังไงก็แม่น (หนังสือชื่อ เล่นหุ้นอย่างไรไม่มโน, วิพากษ์สุดยอดทฤษฎีคลื่น, เทคนิคตามล่าหาหุ้นเวฟ 3X, หุ้นลิ่งดาวอังคาร ฯลฯ)
๗) ฟีโบนาชี : ถือเป็นส่วนประกอบหลักของทฤษฎีอีเลียตเวฟ ใช้ในการหาแนวรับ และหาเป้าหมายราคา (หนังสือชื่อ รหัสลับฟีโบนัชชีในตลาดหุ้น : The Fibonacci Code in Stock Market)
๘) Price Pattern : เป็นการนำเสนอรูปแบบการเคลื่อนไหวราคาที่เกิดซ้ำๆ เห็นทรงเดียวกันบ่อยๆ เมื่อเกิดทรงนั้นแล้วราคาจะเคลื่อนไหวไปในทางใดทางหนึ่งแรง ถ้าซื้อในตอนที่ breakout หรือ breakdown ก็ได้กำไรกันไม่ยาก (หนังสือชื่อ CANSLIM คัดหุ้นชั้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม, เทรดแบบเซียนหุ้นให้ได้กำไรขั้นเทพ, กราฟแท่งเทียน ชาร์ทแพทเทิร์น, หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่, หุ้นซิ่งสวิงเทรด ฯลฯ)
๙) ฯลฯ
น่าจะยังมี หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น อีกเยอะนะครับ เพียงแต่ความสามารถของผมพอจะหาได้แค่เท่านี้



ฝากทิ้งท้ายอีกครั้ง
ด้วยความที่ตัวเองก็เคยใช้งานหนังสือพวกนี้มาก่อน และก็เขียนหนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้นเองด้วยสองเล่ม (หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่ กับ หุ้นซิ่งสวิงเทรด) ก็ต้องบอกท่านแบบเปิดอกเลยว่า

๑) เคสที่นำเสนอให้ท่านเห็นในหนังสือนั้น มันเป็นเคสที่เช็คย้อนหลังแล้วสำเร็จ ครับเรายกมาเฉพาะที่มันสนับสนุนไอเดียที่ผมยกมานำเสนอตามหัวข้อนั้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าในโลกของการเทรดจริง(ในอดีตที่ร่วมสมัยกัน)มันยังมีเคสที่ไม่ตรงตาม pattern นั้นอีกมาก หมายความว่าในแต่ละวันหุ้นบ้านเรามีหกร้อยตัว หากจะมีสักตัวที่ทำทรงคล้ายกับ pattern ตามหนังสือ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสำเร็จแบบเดียวกับที่หนังสือบอกนะครับ มันอาจจะล้มเหลวก็ได้

นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครบอก หรืออาจจะบอก แต่ผู้อ่านก็ไม่ให้ความสนใจ

๒) มันจึงส่งผลมาถึงข้อนี้ ก็คือ ท่านต้องไม่เชื่อ ต้องไม่มั่นใจกับทุกรูปแบบที่หนังสือบอก!!!
นี่เป็นข้อแนะนำจากนักเขียนเองที่เขาก็เป็นนักเทรดด้วยเช่นกัน ก็อย่างที่บอกแหละว่ากว่าจะหาเคสที่ตรงกับหัวข้อหรือรูปแบบที่ต้องการสื่อ ผมต้องคัดจากหลายสิบตัว เพื่อที่จะหาตัวที่ตรงกับสูตรแบบหาข้อโต้แย้งไม่ได้เลย ซึงผมมั่นใจ 100% ว่าผู้เขียนท่านอื่นก็ต้องคัดเคสแบบนี้เช่นกัน

ดังนั้นจึงต้องบอกท่านตรงๆเลยว่า อย่าเชื่อ อย่ามั่นใจมาก ฟังหูไว้หูเสมอ(ซึ่งผมก็จะบอกกับท่านในหนังสือตลอด)ว่าถ้ามันใช่ รถไฟมาตรงเวลา ท่านก็รันกำไรไป แต่ถ้ามันเพี้ยน เกิด false break ขึ้นมา ก็แสดงว่าหุ้นตัวนั้นมันเป็นเคสผิดพลาดไม่ตรงสูตรแล้ว ท่านต้องหนีเมื่อมันทำให้ท่านขาดทุนถึง limit loss ก็นี่แหละครับความสำคัญของ stop loss ทำไมเซียนหุ้นถึงย้ำนักย้ำหนาว่าต้องรู้จักตัดขาดทุน ก็เพราะในตลาดหุ้นเราไม่สามารถบังคับอะไรได้เลย ต้องเล่นตามเกมส์ สิ่งที่ท่านคิดว่าใช่ มันอาจจะหลอกท่านหัวคะมำก็ได้ ฉะนั้น สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือ วางทางหนีทีไล่ให้ดี ถ้าราคาวิ่งไปตามทิศที่ท่านต้องการ ก็ดีไป แต่ถ้ามันเกิดเฮี้ยนขึ้นมา แว้งกลับมาจะทำร้ายพอร์ตท่าน ท่านก็ต้องทำตามแผนที่วางไว้ นั่นคือรีบขายออกตาม stop loss ที่วางไว้

ถ้าท่านทำตามที่ผมแนะแบบนี้ได้ ผมยืนยันว่าท่านจะไม่เสียหายเยอะ ไม่การันตีว่าท่านต้องกำไรทุกตาหรอกนะครับ เรื่องนั้นมันก็มีจังหวะ มีสภาพตลาด บรรยากาศ SET เข้ามาด้วย แต่ถ้าท่านรู้จักตัดขาดทุนได้อย่างเป็นวินัย ให้เสียหายน้อยได้ โอกาสกำไรก้อนใหญ่ก็มีสูงขึ้นแน่นอนครับ



สรุปนะครับ
หนังสือวิเคราะห์กราฟหุ้น เป็นแค่หนังสือให้ข้อมูลเคสที่สำเร็จในอดีตเท่านั้น ไม่การันตีกรณีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่ามันต้องเป๊ะทุกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่ท่านควรทำคือ วางแผนหนีไว้ก่อนทุกครั้งที่เข้าซื้อ

หากอะไรไม่ชอบมาพากล ราคาวกกลับให้ท่านขาดทุน ท่านจะได้ขายเพื่อรักษาเงินต้นของตัวเองไว้ก่อน โอกาสมีเสมอแหละครับ ขอแค่เรามีเงินเหลือให้เทรด



(แนะนำเพิ่มเติม ความรู้การเทรดหุ้นของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บ zyo71.com นี้แหละครับ


ส่วนนี่เป็น ช่องยูทูป ของผมเอง ดูฟรีเช่นกันครับ
เข้าไปชม คลิกที่ลิ้งนี้ www.youtube.com/channel/UCTDoP5zRI4hRETT_2SSlPag/videos


และนี่เป็นหนังสือเล่มของผมเองครับ



www.facebook.com/zyobooks


และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

ดูยังไงว่าเป็น Cup with Handle pattern?

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ