เคล็ดลึกแก้ไข คนที่ชอบเปลี่ยนกำไร กลายเป็นขาดทุน ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ

Mark Minervini: การวิเคราะห์หุ้น ZIP และการพูดคุยเรื่องกฎการซื้อขายที่สำคัญ
เวลาผมวิเคราะห์หุ้น ผมชอบพูดแบบที่ David Ryan เคยพูดบ่อยๆ ในคอร์ส Master Trader ของเรา
คือ "ลากเส้นก็พอ!"
คุณอยากรู้ว่าตรงไหนมีแรงขายเยอะไหม? ก็แค่ลากเส้นดูจากกราฟเลยครับ ลากจากจุดพีคของ pivot ที่ราคากำลังจะเบรกขึ้น แล้วดูไปทางซ้ายมือของกราฟ นี่คือวิธีง่ายๆ ที่ผมใช้เช็กว่าแรงขาย (supply) จะเป็นปัญหาหรือเปล่า
ถ้าเราดูที่กราฟของ ZIP แล้วลากเส้นแนวนอนจากยอด pivot ไปทางซ้าย จะเห็นว่าหุ้นเคยเทรดเหนือเส้นนี้แค่สัปดาห์เดียว แล้วก็ยังปิดต่ำกว่าเส้นนี้อีก แสดงว่าแรงขายเริ่มหมดไป แล้วก็เริ่มเกิดการ “tighten up” คือราคากระชับขึ้น ไม่เหวี่ยงแรง ซึ่งแปลว่าแรงขายไม่ได้เข้ามาเพิ่ม และปริมาณการซื้อขายก็ลดลง นี่เป็นแนวคิดที่ผมได้มาจาก Bill O'Neil ซึ่งเป็นหนึ่งในบทเรียนที่มีค่าที่สุดที่ผมเคยได้จากเขา
ตอนนี้เรากำลังเห็นหุ้นเริ่มไต่ระดับขึ้น และดูเหมือนว่าจะกำลังเอาชนะแรงขายได้ แม้จะมีจุดยอดทางซ้ายที่สูงกว่าอยู่บ้าง แต่ถ้าดูให้ดี ปริมาณการขายตรงนั้นก็ไม่ได้สูง และราคาก็ไม่ได้ปิดแย่เท่าไร มันตกลงแค่สัปดาห์เดียว แล้วเด้งกลับเร็ว
อีกอย่างที่ผมชอบดูคือกราฟรายสัปดาห์ ผมจะดูปริมาณซื้อขายรายสัปดาห์เทียบกับราคา ซึ่งในกรณีนี้จะเห็นว่า มีแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นที่มีปริมาณการขายสูงกว่าค่าเฉลี่ย ส่วนใหญ่คือเป็นการสะสมหุ้น (accumulation) แทบไม่มีการกระจาย (distribution) เลย
เมื่อวิเคราะห์ทั้งหมดแล้ว ผมจึงคาดว่า ถ้าหุ้นนี้จะดีจริง มันควรจะเบรกขึ้นจากตรงนี้ และราคาควรจะยืนได้ ถ้าไม่ยืน ก็อาจมีแรงขายซ่อนอยู่ ซึ่งเรายังไม่รู้แน่ๆ แต่เราก็ใช้กราฟเพื่อหาความน่าจะเป็นที่สูงที่สุดในการตัดสินใจ
ผมอยากเห็นราคากระชับขึ้นมากกว่านี้อีกหน่อยก่อนเบรก แต่ก็ถือว่าโอเคนะ ปริมาณซื้อเข้ามาสวย ถ้ามันกระชับมากกว่านี้จะดี เพราะแปลว่า “มืออ่อน” (คนที่ถือหุ้นแต่ไม่มั่นใจ) ขายออกหมดแล้ว
อีกเรื่องที่ David กับผมคุยกันบ่อยคือ เราชอบ IPO ที่เกิดช่วงตลาดขาลง เพราะเวลานั้นมีแต่คนจริงๆ ที่เข้าใจธุรกิจถึงกล้าทำ IPO ไม่ใช่ช่วงตลาดวิ่งแรงที่ใครๆ ก็ออก IPO กันหมดเพื่อรีบโกยกำไร
คำถาม: แล้ว Mark จะจัดการกับการวางขนาดการลงทุน และการตั้งจุดขายอย่างไร?
ผมจะเริ่มจากดูจุดที่หุ้น "พัง" ก่อน ถ้าราคาลงต่ำกว่าบริเวณ pivot มาก ผมจะไม่โอเค เช่น ถ้าผมซื้อที่ $29.30 แล้วมันลงไปถึง $26.05 นั่นขาดทุนเกือบ 11% เยอะเกินไป ผมจะไม่ยอมให้กราฟมาตัดสินใจให้ผมขาย ผมจะใช้ “คณิตศาสตร์” มาช่วยแทน
ผมจะย้อนกลับไปดูว่า ช่วงหลังๆ ผมได้กำไรเฉลี่ยเท่าไหร่ เช่น ถ้าได้เฉลี่ย 8% ผมอาจจะตั้งจุดขายที่ 4-5% เพื่อให้ความเสี่ยงต่อรางวัล (Risk:Reward) ยังดีอยู่ เช่น 2:1
บางครั้งผมจะแบ่งไม้ด้วย เช่น:
ไม้แรกตั้ง stop loss ไว้แค่ 2-3%
อีกครึ่งหนึ่งอาจให้ระยะห่างหน่อยเป็น 8-10%
ทั้งหมดนี้ต้องสัมพันธ์กับ “อัตราความแม่น” หรือที่ผมเรียกว่า Batting Average ถ้าคุณชนะ 30% ของเทรดทั้งหมด ก็ต้องระวังเรื่อง risk:reward ให้มาก เพราะแม้จะได้กำไรครั้งละ 10% แต่ถ้าเสีย 5% ทุกครั้งที่พลาด ก็ไม่คุ้ม
อีกคำถาม: แล้วเวลา Mark ดู batting average คุณดูย้อนหลังนานแค่ไหน?
ผมจะดูทั้งสั้นและยาวนะ อย่างล่าสุดผมจะเช็กเลยว่า เทรด 4-5 ครั้งล่าสุดได้กำไรไหม ถ้าไม่ ผมจะไม่เร่งเพิ่มขนาดการลงทุน ผมจะหยุด แล้วลดขนาดไม้ลง
ถ้า 2 รอบติดของ 4-5 เทรดยังขาดทุนอยู่ ผมจะยิ่งถอยมากขึ้น เพราะนั่นแปลว่า "ตลาดไม่เป็นใจ" แล้ว ซึ่งมันควรจะทำกำไรได้บ้างแล้วในช่วง 5-10 เทรด
แต่ก็ต้องมีการดูระยะยาวด้วย เช่น ย้อนดู 100 เทรด หรือหลายร้อยเทรดเพื่อดูภาพรวมว่าเรามีค่าเฉลี่ยจริงๆ เท่าไหร่
ตอนเริ่มต้นอาจจะผันผวนเพราะยังไม่มีระบบที่ชัดเจน แต่พอฝึกจนมีระบบและสม่ำเสมอ ตัวเลขเหล่านี้จะนิ่ง และใช้ทำนายอนาคตได้ดีขึ้น
คำถามจากผู้ชม: เวลาเข้าไม้ Mark เข้าทีเดียวเลยไหม หรือแบ่งซื้อ?
ขึ้นอยู่กับขนาดที่ผมต้องการ เช่น ถ้าผมจะซื้อ 50,000 หุ้น ผมคงไม่ซื้อทีเดียว ผมอาจจะทยอยซื้อทีละ 5,000 หรือ 10,000 หุ้น แต่จะซื้อเร็วถ้าเห็นว่าเริ่มได้ผล
ถ้ากราฟยังไม่มั่นใจ ผมอาจเริ่มเล็ก แล้วค่อยเพิ่มถ้ามันยืนได้ดี
บางครั้งผมจะเริ่มเข้าที่จุด "low cheat" คือ จุดที่ราคากำลังซุ่มสะสมอยู่ในฐาน แล้วค่อยๆ สะสมหุ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามันสร้างฐานใหม่และยืนได้ ผมก็จะใส่เพิ่ม
คล้ายกับวิธีของ Bill O'Neil ที่ใช้ pyramiding คือการเติมหุ้นตามฐาน
แต่ถ้าหุ้นนั้น "พร้อม" แล้ว และเบรกขึ้นจริงๆ ผมจะเข้าทันทีเต็มไม้ที่จุดซื้อเลย และจะไม่ซื้อเพิ่มเพียงเพราะราคาขึ้น 3-4% แล้ว แบบนั้นเรียกว่า “ไล่ซื้อ” ซึ่งผมไม่ทำ
สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ" https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9
คำถาม: คุณรอให้ราคาปิดต่ำกว่า Stop ก่อนถึงจะขายไหม หรือว่าขายเลยเมื่อแตะจุดนั้น?
Mark ตอบ:
ผมขายทันทีเลยครับ ถ้าหุ้นแตะราคาที่ผมตั้ง Stop ไว้ ผมจะไม่ลังเล ไม่มีการ “รอดูอีกนิด” หรือหวังว่าเดี๋ยวมันจะกลับมา
นี่แหละคือปัญหาของเทรดเดอร์จำนวนมาก พวกเขาคิดว่าตั้ง Stop แล้ว แต่พอถึงจุดจริงกลับไม่ทำตาม
ตอนผมเพิ่งเริ่มเทรด ผมก็เคยเป็นแบบนั้น รักหุ้นตัวหนึ่งมาก อินกับเรื่องราวมัน แล้วมันก็หลุด Stop ไป
แทนที่จะตัดขาดทุนที่ -8% ผมดันรอ… กลายเป็น -15%, -20%, -25% จนพอร์ตพัง นั่นแหละบทเรียนเจ็บๆ ที่ผมได้มา
หลักการของผมวันนี้คือ:
“ก่อนเข้า ต้องรู้ทางออก”
ผมจะไม่เข้าซื้อหุ้นเลย ถ้ายังไม่กำหนดจุดออกไว้ชัดเจน
คำตอบคือ ไม่ เว้นแต่ว่าหุ้นจะ กลับมาเข้าเงื่อนไขการซื้อเดิมทุกประการ
ผมมีเกณฑ์ชัดเจนในการเข้าซื้อ ไม่ใช่แค่เห็นหุ้นเด้งกลับแล้วรีบเข้าไปแก้มือ
เราไม่ได้เทรดด้วยอารมณ์ revenge
ถึงแม้หุ้นจะหลุด Stop ไปแล้ว ผมก็ไม่ลบชื่อหุ้นนั้นทิ้ง
บางทีพอผ่านไปไม่กี่วัน กราฟมันกลับมาสวยกว่าเดิมอีก — แบบนี้ถึงค่อยพิจารณาใหม่
แต่ต้องผ่านเกณฑ์เดิมให้ครบ ไม่ใช่แค่ "เพราะมันเคยทำเราขาดทุน" แล้วอยากแก้แค้น
Mark เปรียบเทียบการเทรดเหมือนการเล่นโป๊กเกอร์
คุณเริ่มต้นด้วยไพ่ดี แต่พอมีไพ่ใหม่ตกลงมา เกมเปลี่ยน คุณต้อง ปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
กราฟ = ไพ่ใหม่ที่ตกมา
เราต้องดูข้อมูลใหม่ แล้วตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่เทรดด้วยความหวังหรือความกลัว
ถ้าราคาหุ้นมีการกลับตัวแรงตั้งแต่ช่วงก่อนเที่ยง (early day reversal)
ผมจะไม่รีบขายทันที — ผมจะรอดูจนถึงสิ้นวัน
แต่ถ้าหุ้นปิดตลาดที่ “จุดต่ำสุดของวัน” และดูอ่อนแรงมากๆ ผมอาจลดขนาดการถือครองลงครึ่งหนึ่ง หรือขายทิ้งทั้งหมด
แต่ถ้ามันเด้งกลับมา และปิดอยู่กลางช่วงของวัน ผมจะรอดูอีก 2-3 วันว่า:
มันสามารถไม่หลุด low ของวันนี้ได้ไหม?
และถ้ามันเบรก high ของวันนี้ได้ = สัญญาณ “reversal recovery” ที่ดีมาก
ช่วงต้นของตลาดขาขึ้น: สถาบันซื้อ, นักลงทุนทั่วไปยังกลัว
ช่วงปลายของตลาดขาขึ้น: นักลงทุนทั่วไปแห่ซื้อ, สถาบันเริ่มขาย
Mark ยกตัวอย่าง Cathie Wood ว่าเธอมักซื้อหุ้นตอนราคาตก และขายตอนหุ้นขึ้น
เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าใครเป็นผู้เล่นในตลาด และเขากำลังทำอะไร
อย่าหลอกตัวเองว่า Breakout ทุกครั้งจะสำเร็จ เพราะบางทีมันคือจังหวะที่ "มือใหญ่ขายออก"
ตั้ง Stop Loss ไว้ล่วงหน้า แล้วทำตามให้ได้แบบไร้ข้อแม้
ไม่เข้าซื้อใหม่ด้วยอารมณ์ ต้องกลับมาเข้าเงื่อนไขก่อนเท่านั้น
ติดตามหุ้นที่ขายไปแล้ว บางทีมันอาจกลับมาน่าสนใจกว่าเดิม
ให้เวลากับ Early Day Reversal เพราะมันอาจไม่ใช่สัญญาณลบจริงๆ
ใช้กราฟเหมือนดูไพ่โป๊กเกอร์ ปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลใหม่ ไม่ยึดติดความเชื่อเดิม
อย่าลืมว่า "สภาพคล่อง" คือข้อได้เปรียบของนักเทรด ใช้มันให้เป็นประโยชน์