การเทรดคือเกมของฮีโร่ นี่คือตัวอย่างเส้นทางของคุณ

Image
  เส้นทางของ "The Hero's Journey" แบ่งออกเป็นสองโลกคือ Known (โลกที่รู้จัก) และ Unknown (โลกที่ไม่รู้จัก) ซึ่งวีรบุรุษจะต้องเดินทางไปในโลกที่ไม่รู้จัก (Unknown) เพื่อพัฒนาตนเอง ผ่านการผจญภัยและการทดสอบต่าง ๆ ก่อนที่จะกลับมายังโลกที่เขารู้จักพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงภายใน 1. Call to Adventure! (การเรียกสู่การผจญภัย)    - จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเมื่อ "Hero" ได้รับการกระตุ้นให้เข้าสู่การเดินทางใหม่หรือการผจญภัยที่ไม่คุ้นเคย 2. Supernatural Aid (ความช่วยเหลือเหนือธรรมชาติ)    - Hero ได้รับการช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากสิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ เช่น กำลังภายใน ความสามารถพิเศษ หรือคำแนะนำจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3. Threshold Guardian (ผู้เฝ้าประตู)    - ตัวละครหรือสิ่งที่ยืนขวาง Hero ไม่ให้เข้าสู่โลกที่ไม่รู้จัก วีรบุรุษต้องเอาชนะหรือก้าวผ่านเพื่อเดินหน้าต่อ 4. Threshold (ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลง)    - จุดที่ Hero ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความไม่แน่นอน จากสิ่งที่เขารู้ไปสู่สิ่งที่เขายังไม่รู้ 5. Challenges (ความท้าทาย)    - Hero เผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายต่าง ๆ ที่ทดสอบทั้งร่างกายแล

สรุป The Most Important Thing วิธีลงทุนสวนกระแส (ชาวสวน contrarian)

วิธีลงทุนสวนกระแส

ลงทุนสวนกระแส


วิธีลงทุนสวนกระแส จากหนังสือ The Most Important Thing
แปลจาก www.arborinvestmentplanner.com/the-most-important-thing-by-howard-marks-book-review-summary โดย KenFaulkenberry



บทที่ ๑
ไม่มีกฎไหนใช้งานได้ดีตลอดกาล ไม่มีทางเวิร์คทุกครั้ง เพราะเราไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อม/สถานการณ์ได้เลย อะไรที่เคยเกิดขึ้นมักจะไม่ค่อยเกิดซ้ำแบบเป๊ะๆ ตรงนี้เองที่จิตวิทยามีบทบาทสำคัญในตลาดเก็งกำไร เพราะเราต้องใช้มันเพื่อรับมือกับความแปรผันและผลกระทบที่เราคาดไม่ถึง

สิ่งสำคัญที่สุดคือ "การคิดสองชั้น" คุณต้องคิดนอกกรอบ(จากการคิดชั้นเดียว) คนส่วนใหญ่คิดชั้นเดียวคือซื้อเมื่อมีสถานการณ์ที่ดีมาก ๆ อย่างชัดเจน แต่คนที่คิดสองชั้นจะเห็นว่าการลงทุนในระดับราคานั้นมันแพงเกินจริง มีความเสี่ยงสูง

คนส่วนใหญ่ที่คิดชั้นเดียว มักจะขายหุ้นออกเมื่อสถานการณ์เลวร้ายชัดเจน แต่คนที่คิดสองชั้นจะมองว่าพวกเขาเหล่านั้นตื่นตระหนกเกินไป ทำให้ราคาลงหนักเกินมูลค่า เขาจะซื้อแทนที่จะตกใจขาย



บทที่ ๒
ตลาดเก็งกำไร ไม่มีประสิทธิภาพ มีหน้าที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่(mass)ขาดทุน หรือได้กำไรน้อยมาก เราจุงควรมองว่ามันนำเสนอโอกาสให้เรา(ชนะ-ได้กำไร) - ส่งสัญญาณหลอก(แพ้-ให้เราขาดทุน) ปะปนกันไป ตามแต่พื้นฐานความคิด ข้อมูลของแต่ละคน

ความจริงก็คือตลาดส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพแทบจะตลอดเวลา แต่สิ่งที่ให้มันไร้ประสิทธิภาพก็คือตัวนักลงทุนเอง เพราะพวกเขาถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ โลภ-กลัว อันจะชักนำให้พวกเขาลงมือทำแบบสุดโต่ง และสร้างความผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ

นักลงทุนที่คิดสองชั้น เขาเลือกที่จะเชื่อว่า ตราดไม่สามารถเอาชนะความไร้ประสิทธิภาพได้ (แปลไทยเป็นไทยคือ มันจะไร้ประสิทธิภาพไปตลอด) ซึ่งความเชื่อนี้จะเปิดโอกาสให้พวกเขามองเห็นโอกาสที่จะทำกำไรจากมัน



บทที่ ๓ นักลงทุนที่ไม่รู้(หรือไม่ให้ความสำคัญ)เรื่องความสามารถในการทำกำไร,ปันผล, การประเมินมูลค่า หรือ การทำมาหาได้ของบริษัท จะไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและถูกเวลาได้

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ มูลค่า
การเติบโต แตกต่างจาก มูลค่า
การเติบโต เป็นการเดิมพันสำหรับอนาคต ซึ่งไม่แน่นอน ซึ่งบ่อยครั้งที่คุณมักจะจ่ายแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
มูลค่า จะยั่งยืนกว่า การซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า มีความเสี่ยงต่ำ กว่าการคาดเดามูลค่าในอนาคต(แบบการเติบโต)
มูลค่าที่ดี ก็คือตอนที่คุณซื้อหุ้นเติบโตในราคามูลค่า แต่ถึงกระนั้น คุณก็ไม่ได้คิดถูกต้องทุกครั้ง



บทที่ ๔
ไม่มีสินทรัพย์ใดที่เป็นการลงทุนที่ดี หากคุณซื้อมันในราคาแพงเกินไป และก็ไม่มีสินทรัพย์ใดที่เป็นการลงทุนที่เลว ถ้าหากคุณซื้อมันในราคาถูก(เชิงมูลค่า)มากๆ

สิ่งสำคัญก็คือ คามสัมพันธ์ระหว่างราคากับมูลค่า สภาพจิต/ความเชื่อ/อารมณ์(จิตวิทยา)ของนักลงทุนจะเป็นปัจจัยทำห้ราคาถูกหรือแพงเกินมูลค่าของมัน(ราคาผิดเพี้ยน) ในระยะสั้นแล้ว การลงทุนก็ไม่ต่างไปจากการประกวดความนิยม

จุดที่อันตรายที่สุดของการลงทุรคือ คุณเข้าไปซื้อในตอนที่หุ้นตัวนั้นมันป็อปปูล่าร์ขีดสุด(ใคร ๆ ก็พูดถึง ใคร ๆ ก็เชียร์) ในเวลานั้นเราจะเห็นข้อมูลเชิงบวกและข้อสมมุติฐานที่เพริดแพร้วไปสะท้อนในราคาที่สูงสุดสอย ซึ่งเป็นราคาที่นักลงทุนส่วนใหญ่ได้ซื้อมันไปแล้ว

เวลาที่ดีในการลงทุนก็คือ ยามที่ไม่มีใครต้องการมันเลย ณ จุดนั้นเป็นตอนที่มีข้อมูลลบและสมมุติฐานเลวร้ายเต็มตลาด ซึ่งมันจะสะท้อนให้เป็นผ่านราคาที่ตกต่ำ อันเกิดจากใคร ๆ ก็พากันขายไปหมดแล้ว

การซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เป็นวิธีการลงทุนที่น่าเชื่อถือที่สุด และได้กำไรงามที่สุด



บทที่ ๕
ความเสี่ยงที่น่ากังวลที่สุดก็คือ ขาดทุนหนัก ราคาไม่กลับมาอีกเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "การเข้าใจความเสี่ยง" ซึ่งมีหลายคนเข้าใจผิดกันมาก
สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องให้อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือมันไม่เสี่ยงเลย
ความเสี่ยงอาจไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอ ถ้าคุณซื้อขายในราคาที่เหมาะสม(ตามมูลค่า) ก็จะเป็นการลงทุนที่มีกำไรได้เช่นหัน
ความเสี่ยงไม่ใช่ความผันผวน แต่มันเกิดจากการตอบสนองของนักลงทุนต่อความผันผวนนั้น

ความเสี่ยงสามารถลดลงอย่างมาก ถ้า
๑) การประเมินมูลค่าที่แท้จริงถูกต้อง และเข้าลงทุนได้ถูกเวลา
๒) การตัดสินใจที่ดี ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของราคากับมูลค่า
๓) หลีกเลี่ยงการลงทุนเกินราคา เข้าลงทุนเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า



บทที่ ๖
ระดับความเสี่ยงที่มีอยู่ในตลาด เกิดจากพฤติกรรมการตอบสนองของนักลงทุนจำนวนมาก ไม่ใช่หลักทรัพย์และสถาบัน

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักถึงความเสี่ยง
ความเสี่ยงจะสูงสุด เมื่อทุกคนมองว่ามันเสี่ยงต่ำมาก ทำให้นักลงทุนไล่ซื้อจนถึงจุดที่เสี่ยงมาก ยิ่งราคาสูงผลตอบแทนที่คาดหวังจะต่ำมาก ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่พึงประสงค์ ก่อให้เกิดการสูญเสียขนาดใหญ่

ความเสี่ยงจะต่ำสุด เมื่อทุกคนเชื่อว่ามีความเสี่ยงสูง
มันทำให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้นให้ราคาลดลงต่ำจนถึงจุดที่ไม่มีความเสี่ยงอีกต่อไป เพราะเขาเห็นว่ามันมีผลตอบแทนที่คาดหวังสูงจนน่าพอใจ

นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมราคา ไม่ใช่คุณภาพของการลงทุน
สินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงอาจมีความเสี่ยง(ถ้าเราจ่ายแพง) สินทรัพย์ที่มีคุณภาพต่ำอาจปลอดภัย (ถ้าซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่า) ขึ้นอยู่กับราคาที่เราจ่าย



บทที่ ๗
หนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว คือ การควบคุมความเสี่ยง(เกมรับ) มากกว่า เกมรุก
นักลงทุนที่มีประสิทธิภาพชั้นยอด จะเชี่ยวชาญในการควบคุมความเสี่ยง


ใครตามที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดี สามารถจำกัดขนาดของความสูญเสียได้ดี จัดสรรเงินลงทุนได้เยี่ยม คนนั้นจะเป็นผู้ชนะในระยะยาว

การควบคุมความเสี่ยง ไม่ใช่หลีกเลี่ยงมัน แต่คุณต้องเผชิญหน้าและบริหารมัน
ตลาดหุ้นจะมีที่ดีมากกว่าปีที่ไม่ดี
การควบคุมความเสี่ยงจะมาในรูปของการสกัดกั้นความสูญเสียครั้งใหญ่(แก้ที่ต้นทาง) ไม่ใช่ไปแก้ไขที่ปลายเหตุ
ใครก็ตามที่เพิกเฉย ป่อยให้ความเสี่ยงลุกลาม คนนั้นมีโอกาสถูกลงโทษ ให้พบกับความพินาศได้ไม่ยาก
ดังนั้น การควบคุความเสี่ยง ต้องเป็นงานที่คุณต้องทำตลอดเวลา



บทที่ ๘
Cycle จะไม่หยุดเดิน แม้คนจะต้องการให้ตลาดมีประสิทธิภาพ นั่นอาจจะทำให้ cycle ชั่วคราว แต่ก็จะไม่สามารถหยุดมันได้ถาวร

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องใส่ใจกับ cycle เพราะมันจะยังคงหมุนไปเรื่อย ๆ มันมีการกลับตัวตามวาระของมัน ความสำเร็จเป็นจุดเริ่มต้น(สร้างเมล็ดพันธุ์)ความล้มเหลว ความล้มเหลวเป็นจุดเริ่มต้น(สร้างเมล็ดพันธุ์)ความสำเร็จ

นักลงทุนระยะสั้น จะตัดสินใจไปเองว่าแนวโน้มจะไม่มีทางสิ้นสุด เพราะเมื่อเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ดี-พวกเขาจะสรุปว่าแนวโน้มจะดำเนินไปตลอดกาล และเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้าย-พวกเขาจะพูดคุยเกี่ยวกับวงจรอุบาทว์ การดำดิ่งไร้ก้นไปตลอดกาล

อย่าได้คิดไเองว่า แนวโน้มจะดำเนินไปตลอดนิรันดร์ ควรระวังจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่เป็นไปได้



บทที่ ๙
เมื่อนักลงทุนทั่วไปยอมรับความเสี่ยงได้สูงมาก ความปลอดภัยจะน้อยลง ยิ่งเสี่ยงสูงผลตอบแทนอาจได้น้อยกว่าความเสี่ยง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การตระหนักถึง pendulum (การแกว่งกลับ)
ตลาดจะแกว่งไปมา จากช่วงมั่นใจ/สุขสุดขีด(euphoria) แกว่งไปหาช่วงเสียขวัญสุดขีด (depression) ถ้าอยากมีความสุขก็ต้องอยู่ในช่วงกลางให้ได้ (happy medium) แต่ถึงกระนั้น ตลาดจะมีช่วงที่เป็นกลางน้อยมาก (มันจะแกว่งแบบลูกตุ้ม pendulum) ซึ่งการแกว่งไปมาจะช่วยให้นักลงทุนที่เข้าใจความผันผวนได้รับโอกาสทำเงินที่ดีในตอนที่มันทำตัวสุดขั้ว



บทที่ ๑๐
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของการลงทุนไม่ได้มาจากปัจจัยในเรื่องข้อมูลและการวิเคราะห์หรอก แต่มันมาจากจิตใจ(psychology)ของตัวนักลงทุนเอง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การต่อสู้กับอิทธิพลเชิงลบ ความโลภ ความกลัว ความลำเอียงที่จะทำให้เราทิ้งตรรกะ ความอิจฉาริษยา และอีโก้ เหล่านี้แหละที่เป็นอิทธิพลทางลบให้กับพวกเรา

พลังอิทธิพลเชิงลบเหล่านี้ มันเป็นพลังสากล เป็นจิตวิทยาหมู่ ที่มนุษย์คิดตรงกัน(แม้จะไม่ได้อยู่ไกล้ชิดกันก็ตาม) ซึ่งมันจะรุนแรงและตรงกันในวงกว้างในตอนที่สถานการณ์สุดขั้ว(ทั้งกลัวและกล้า) และมันจะทำร้ายต่อผลตอบแทนของพวกเขา

มีหลายแนวทางที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทน แต่ที่แนะนำคือ ให้ยึดติดกับแนวคิดมูลค่าที่แท้จริงและ margin of safety เพื่อให้ท่านรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมที่ท่านกำลังลงทุน ว่าเป็นโอการ หรือความเสี่ยงกันแน่



บทที่ ๑๑
จงซื้อเมื่อคนส่วนใหญ่ขายอย่างสิ้นหวัง จงขายเมื่อคนส่วนใหญ่ซื้ออย่างร่าเริง จงใช้ความกล้าหาญทำในสิ่งนี้ แล้วท่านจะได้รับผลกำไรสูงสุด ข เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน

สิ่งสำคัญที่สุด คือ การคิดสวนทางกับมวลชน นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นผู้ติดตามแนวโน้ม นักลงทุนที่ดีว่าจะทำตรงกันข้ามกับนักลงทุนส่วนใหญ่

หากนักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อเพราะเห็นว่าสภาวะการณ์ดูดีราคาก็จะวิ่งขึ้นสูง แต่ยิ่งราคาวิ่งขึ้นสูง-ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงตาม(ถ้าเข้าซื้อ) ทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าความเสี่ยง
หากนักลงทุนส่วนใหญ่ขายหุ้นออก เพราะเห็นว่าเงื่อนไขไม่เอื้อำนวย(สถานการณ์ไม่ดี) สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รางวัลก้อนโต



บทที่ ๑๒
เงื่อนไขของการได้ส่วนต่างที่ดี(extension of bargain) ขึ้นอยู่กับการยอมรับว่ามันมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าที่เราคิด

สิ่งที่สำคัญต่อการหาหุ้นดีที่ลดราคาสุดถูก นักลงทุนจะไม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากนัก เพราะการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงอาจเป็นการลงทุนที่แย่หรือดีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับราคาที่คุณจ่าย

ถ้านักลงทุนล้มเหลวในการแยกแยะทรัพย์สินที่ดี(good asset) กับ การซื้อที่ดี(good buys) พวกเขาจะเดือดร้อน เพราะเมื่อราคาวิ่งสวนทาง ยิ่งไปไกล พวกเขายิ่งเจ็บปวด และเลวร้ายกว่าความเป็นจริงมากเท่านั้น



บทที่ ๑๓
ในยามที่คนอื่นตัดสินใจ(ขาย)หนี คุณต้องกล้าเสี่ยง(สวนทาง) ไม่ใช่ลงไปวิ่งแข่งกับเขา

สิ่งสำคัญที่สุด คือการอดทนรอเพื่อฉวยโอกาส บางครั้งการลงมืที่ดีที่สุดคือการไม่ลงมือทำ การรอให้เกิดการลดราคาจึงลงมือ-มักจะเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด

คำแนะนำ : ให้ทำลิสต์เอาไว้ แล้วเลือกหุ้นที่นักขายมีแรงจูงใจในการขาย-แทนที่จะตัดสินใจแบบเข้าข้างตัวเอง เขาชี้ให้เห็นว่าในการลงทุนคุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้ง (ในการลงทุนนั้น)ไม่มีบทลงโทษสำหรับการอดทน

จงเฝ้าดูและสังเกตภาวะของตลาดเพื่อหาจังหวะที่มันขาดสมดุล แล้วเข้าซื้อและขายออกในราคาที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ ซึ่งมักจะเป็นการกระทำตรงข้ามกับความเห็นของคนส่วนใหญ่เสมอ


บทที่ ๑๔
ไม่มีใครชอบลงทุนเพื่ออนาคต ภายใต้ข้อสันนิษฐานว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นเช่นนั้นเราควรเผชิญหน้ากับมันและหาวิธีอื่นๆ ในการรับมือมากกว่าคาดการณ์


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้ว่าคุณไม่รู้อะไร
การคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจ และการผันผวนในอนาคต ในตลาดหุ้น เป็นสิ่งที่อันตรายและอาจไร้ค่าในระยะยาว

ให้ความสนใจกับการประเมินมูลค่า งบดุล และงบกำไรขาดทุน
ลดการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาด อย่าพยายามพยากรณ์สิ่งที่ไม่รู้

บทที่ ๑๕
เราอาจจะไม่มีทางรู้เลยว่าเรากำลังจะไปไหน
แต่เราควรมีความคิดที่ดีว่ามันควรจะเป็นอะไร นั่นคือแม้ว่าเราไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลา และขอบเขตของความผันผวนของวัฏจักรได้
แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราอยู่ที่ไหน ในเงื่อนไขของวัฏจักรและดำเนินการตามนั้น


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติในที่ที่เรายืน เราจำเป็นต้องตระหนักถึงสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจเป็นบวกหรือลบหรือไม่?
ตลาดทุนจะตึงหรือหลวม? การกระจายความเสี่ยงแคบหรือกว้าง?
 นักลงทุนมีความกระตือรือร้นที่จะซื้อหรืออยากขาย?
ราคาสินทรัพย์สูงหรือต่ำ?
ให้ใช้ข้อมูลที่เรามีและรู้ในวันนี้ เพื่อตัดสินใจลงทุนโดยพิจารณาจากความน่าจะเป็นไม่ใช่การคาดการณ์ เราควรกลัวเมื่อผู้อื่นกล้าผลักดันราคาให้สูงขึ้น และเราควรจะกล้ามากขึ้นเมื่อคนอื่น ๆ ตื่นตระหนกและผลักดันให้ราคาลดลง

บทที่ ๑๖
“การสุ่มก่อให้เกิด (หรือทำลาย) ผลการลงทุนที่เหลือเชื่อ
ผลที่ตามมาคืออันตรายที่แฝงตัวอยู่ในกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากนั้น มักถูกประเมินค่าต่ำกว่ามาตรฐาน”


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นคุณค่าบทบาทของโชค
คุณไม่สามารถตัดสินความเหมาะสมของการตัดสินใจลงทุน จากผลลัพธ์
การตัดสินใจที่ไม่ดีบางอย่าง ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
การตัดสินใจที่ดีบางอย่าง ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดี

นักลงทุนบางคนสร้างพอร์ตโฟลิโอเพื่อเพิ่มผลกำไรตามการคาดการณ์
หากโดยบังเอิญการคาดการณ์ถูกต้อง พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรารู้ว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
นักลงทุนนั้นอาจจะแค่โชคดีก็ได้

นักลงทุนที่ดีจะลงทุนเชิงป้องกัน ตามความน่าจะเป็นที่หลากหลาย
พวกเขาจะให้ความสำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับความเสี่ยงและการสุ่มเหตุการณ์เป็นอันดับแรก
รวมถึงการพยายามหลีกเลี่ยงหลุมพราง ที่อาจทำลายล้างพอร์ตโฟลิโอ

บทที่ ๑๗
“การลงทุนแบบป้องกันจำเป็นต้องมีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย จำกัดของความเสี่ยงโดยรวมที่เกิดขึ้นและทำให้พอร์ตเกิดความปลอดภัย”

ผู้จัดการการลงทุนส่วนใหญ่ล้มเหลวเพราะพวกเขารุกมากเกินไป ไม่ใช่เพราะระวังตัวมากเกินไป
การพยายามทำกำไรให้ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยการรับความเสี่ยงมากขึ้น เป็นเกมที่โง่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่

ในความเป็นจริง การเล่นเกมรับต้องอาศัยความสมดุล คุณต้องพยายามป้องกันตามการสูญเสียให้น้อยที่สุดในปีที่ผลงานตกต่ำ

การควบคุมความเสี่ยงที่ดีที่สุด คือการยอมรับความผิดพลาด
การเคารพต่อความเสี่ยง ซื้อที่ราคาต่ำ และการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ทำให้เขาเป็นผู้จัดการการลงทุนที่ดีที่สุด

บทที่ ๑๘
“จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือตอนที่อนาคตหยุดเป็นอดีต(when the future stops being the past) การคาดการณ์ล้มเหลว และเงินจำนวนมากสูญหายหรือเราไม่ได้ทำ”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงหลุมพราง เหตุผลที่ขับเคลื่อน cycle มักจะตรงกับความเชื่อที่ว่า "ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม" นี่เป็นหลุมพรางที่ก่อให้เกิดอันตรายสูงสุดต่อจำนวนผู้ติดตามฝูงกลุ่มใหญ่ เหตุผลเหล่านี้ควรได้รับการยอมรับและหลีกเลี่ยงโดยนักคิดสองชั้น

ในระยะสั้นปัจจัยทางจิตวิทยาและทางเทคนิคสามารถแทนที่หรือเอาชนะปัจจัยพื้นฐานได้
แต่เมื่อใดที่เราพบว่าคนส่วนใหญ่เข้าร่วมแนวโน้ม และช่วยสร้างฟองสบู่ หรือการล่มสลาย
นี่เป็นเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทำตัวสวนตลาด contrarian และคิดถึงการป้องกันตัวเอง

บทที่ ๑๙
“เป้าหมายของนักลงทุนทุกคน ควรทำให้ผลประกอบการได้กำไรมากกว่าขาดทุน”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเพิ่มมูลค่า
Marks สนับสนุนการเป็นนักลงทุนเชิงตั้งรับ ที่มุ่งมั่นต่อการเสียหายให้น้อย ในภาวะตลาดะตกต่ำ และได้รับผลกำไรก้อนใหญ่ในตอนที่ตลาดเป็นขาขึ้น

เบต้า คือ การวัดว่าพอร์ตโฟลิโอของเราเพิ่มมากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตลาด
นักลงทุนที่ชอบรุก (เบต้าสูง) แต่ขาดไม่มีทักษะ จะได้กำไรก้อนใหญ่เมื่อตลาดเป็นขาขึ้นและจะขาดทุนหนักมากเมื่อตลาดเป็นขาลงลง
นักลงทุนเชิงป้องกัน (รุ่นเบต้าต่ำ) แต่ขาดทักษะ จะไม่เสียหายมากนักเมื่อตลาดเป็นขาลง ถึงกระนั้นเขาจะไม่ได้ผลมากนักเมื่อตลาดพุ่งขึ้น แบบนี้มูลค่าไม่เพิ่ม

อัลฟ่า คือ การวัดทักษะการลงทุนส่วนบุคคล นี่คือการวัดผลงานของพอร์ตโฟลิโอที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของตลาด อัลฟาที่เป็นบวกจะบอกว่าใน cycle วิ่งขึ้นและลง นักลงทุนทำได้ดีกว่าตลาด อัลฟาเชิงลบจะหมายถึงว่าใน cycle วิ่งขึ้นและลง แต่ลงนักลงทุนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าตลาด


บทที่ ๒๐
“เพื่อให้บรรลุผลการลงทุนที่เหนือกว่า ความเข้าใจในเรื่องมูลค่าของคุณจะต้องเหนือกว่า
ดังนั้นคุณต้องเรียนรู้สิ่งที่คนอื่นไม่เห็น สิ่งที่แตกต่าง หรือวิเคราะห์พวกเขาให้ดีขึ้น - ถ้าทำได้ทั้งทั้งสามอย่าง จะสุดยอดมาก”


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอามาประยุกต์ใชรวมกัน คุณต้องมั่นใจในการประเมินมูลค่าของตัวเอง
คุณต้องมีความกล้าหาญที่จะรักษาวินัย เมื่อราคาแตกต่างจากการประเมินมูลค่าของคุณ
คุณต้องเข้มแข็งพอที่จะเอาชนะอิทธิพลทางจิตวิทยาที่ทรงพลังซึ่งจะพยายามให้คุณเข้าร่วมวงฝูงชน

ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ความเสี่ยงของการสูญเสียเงินต้นอย่างถาวร
การควบคุมความเสี่ยงเป็นหัวใจของการลงทุนเชิงป้องกัน เน้นหนักไปที่การไม่ทำสิ่งผิดพลาด

กุญแจสู่ความสำเร็จในการลงทุน คือ การได้ซื้อหุ้นในราคาและมูลค่าที่เหมาะสม
เราไม่มีทางที่จะรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ดังนั้นการยอมรับความผิดพลาดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มมูลค่า The larger the margin for error the higher the probability of success.


ความเห็นของผู้สรุป
นี่คือหนังสือกระตุ้นความคิด อาจเป็นหนังสือการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา มันเข้าใจง่ายมาก แต่ยากที่จะนำไปใช้ในชีวิตจริง ถ้าการลงทุนเป็นเรื่องง่ายหลายคนคงไม่ล้มเหลว

Howard Marks ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดแก่เรา ด้วยความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคุณค่าและความแข็งแกร่งที่จะเอาชนะอิทธิพลทางจิตวิทยาเชิงลบทุกคนสามารถเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้!
มีขายที่ amazon.com ยังไม่มีแปลเป็นภาษาไทยครับ


(แนะนำเพิ่มเติม ความรู้การเทรดหุ้นของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บ zyo71.com นี้แหละครับ


ส่วนนี่เป็น ช่องยูทูป ของผมเอง ดูฟรีเช่นกันครับ
เข้าไปชม คลิกที่ลิ้งนี้ www.youtube.com/channel/UCTDoP5zRI4hRETT_2SSlPag/videos


และนี่เป็นหนังสือเล่มของผมเองครับ



www.facebook.com/zyobooks


และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

จิตวิทยา การวิเคราะห์และใช้งาน แท่งเทียน Doji

5 Holy Grail ที่ใช้ได้ผลจริง ในการเทรด

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo