สาเหตุที่ทำให้นักเทรดส่วนใหญ่ ต้องขาดทุนซ้ำซาก หรือ ไม่สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ

Image
สาเหตุที่ทำให้นักเทรดส่วนใหญ่ ต้องขาดทุนซ้ำซาก หรือ ไม่สามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ ๑) เทรดแบบงานอดิเรก - มาทรงนี้ จะไปไวมาก เพราะงานอดิเรกมีแต่จ่าย และจ่าย // อีกกลุ่มใหญ่ไม่แพ้กันคือ เทรดแบบการพนัน เล่นหุ้นเสี่ยงสูงทั้งๆ ที่ตนเองความรู้แทบไม่มี จำคำพูดเซียนมาใช้เป็นกลยุทธ์ ๒) ถึงแม้จะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หาความรู้และฝึกฝนอย่างหนัก ก็ยังคงมีโอกาสขาดทุนหนักอยู่ เพราะ - ไปได้ข้อมูล แนวทางที่ผิด โดยเฉพาะการโฟกัสที่ผลลัพธ์ที่แม่นยำสูง + เทรดโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยง - แต่แม้จะได้ข้อมูลที่ดี ก็ยังมีโอกาสขาดทุนยับอยู่ ถ้าคุณมีความเชื่อที่ตรงข้ามกับกลยุทธ์/กระบวนการและกฎการเทรดที่ทำเงิน -- แบบนี้เรียกว่าความขัดแย้งจากภายใน ตัวอย่างที่ชัดมากคือ กลยุทธ์ให้คุณตัดขาดทุน แต่ถ้าภายในใจของคุณไม่เชื่อ คุณก็ทำตามไม่ได้ // กลยุทธ์ให้คุณบริหารความเสี่ยง แต่ถ้าคุณอยากรวยเร็ว คุณก็ไม่ยอมทำตาม ๓) ประสบการณ์ คือ ตัวแปรสำคัญ ของการเทรดที่ได้กำไรสม่ำเสมอ ถ้าคุณมีประสบการณ์มากพอ คุณผ่านเกมมากพอ คุณจะเข้าใจหลายเรื่อง ที่มันขัดกับความเชื่อทั่วไปของมนุษย์ได้ เพราะหลายเรื่องของเกมการเทรดนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อเอาชนะ -

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในมุมของค่ากลาง


แม้ว่าเส้นค่าเฉลี่ยจะเป็นผลมาจากการคำนวณราคาย้อนหลัง แต่มันก็สามารถมีนัยยะต่อการเคลื่อนไหวของราคาในปัจจุบันได้ เพราะมันทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือฐานการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงของราคาได้ตลอดแนวโน้ม โดยเฉพาะเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น อย่าง EMA5 และ EMA10 ดังนั้นผมจึงมองว่าเราสามารถใช้มันเป็น "ค่ากลาง" หรือราคาเฉลี่ยของหุ้นในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดีครับ

แล้วการเป็นค่ากลาง ที่ว่านี้มันจะเอาไปใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไร?

ในที่นี้ ผมอยากชวนท่านมองการเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละช่วงเป็น วัฏจักร ครับ คือ เริ่มต้นจากปกติ พอขึ้นไปได้สักพักก็จะมีคนรู้สึกว่าแพงเกินไปแล้ว ก็เริ่มมีการขายหุ้นออกมา ส่งผลให้ราคากลับตัวลง พอลงต่อเนื่องก็จะเข้าสู่ช่วงที่คนส่วนหนึ่งมองว่าราคาถูกเกินไปแล้ว ก็จะเข้ามาซื้อ ดันให้ราคากลับตัวขึ้นไปใหม่

ถ้าจะวาดรูปออกมาให้ดูก็จะออกมาเหมือนโลโก้ SET เลยครับ

แนวทางการประยุกต์ใช้ก็คือ เราสามารถเอาลักษณะการเคลื่อนไหวแบบนี้ไปจับจังหวะซื้อและขายได้ครับ

ซื้อ เมื่อเห็นว่าราคากลับตัวจากการลงเป็นขึ้น

ขาย เมื่อเห็นว่าราคากลับตัวจากการขึ้นเป็นลง

นี่คือไอเดียคร่าวๆครับ





ประเด็นที่ต้องต่อยอดจากนี้คือ

เมื่อไหร่ที่ราคาถึงจุดกลับตัว มันส่งสัญญาณอะไรที่เราพอจะจับได้บ้าง?

ก่อนอื่นต้องถามว่าทำไมคนถึงอยากขาย มีสองเหตุผลคือ เห็นว่าคนอื่นๆมีความกล้ามากเกินไปแล้ว มืออาชีพก็จะใช้เป็นสัญญาณขาย แบบ selling into strength

อีกเหตุผลคลาสสิคที่ลงทุนทั่วไปคิดอยากขายก็คือรูสึกกลัว

ตรงนี้แหละที่เป็นจุดโฟกัสเอามาขยายความอีก

กล้ามากเกินไป คือลักษณะไหน? ถ้าจะอธิบายผ่านเทคนิคอลมันก็คือ ช่วงที่ราคาเข้าสู่โซน overbought  นั่นเองครับ





ทีนี้ การ overbought ก็สามารถมองได้หลายคาบเวลาแล้วแต่ประเภทนักลงทุน เช่น คนเล่นสั้นก็ใช้การดูการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงเป็นจุดสังเกตสำหรับขาย เพราะเชื่อว่าราคาขึ้นมาถึงจุดกลับตัวแล้ว ต่อไปเจอขายต้านแน่ ซึ่งเป็นลักษณะของการ selling into strength นั่นเอง

ในทางตรงข้าม oversold ก็เป็นช่วงที่พวกเขามองเห็นความกลัวสุดขีดผ่านการเคลื่อนไหวของราคาที่ลงแรงต่อเนื่องได้เช่นกัน

ส่วนคนที่เล่นยาว ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้แหละครับ แต่เขาเลือกมองผ่านแท่งเทียนที่ยาวกว่าคือแท่งราคารายสัปดาห์แทน





เมื่อเอาเส้นค่าเฉลี่ยมาใช้ร่วม ก็จะทำให้เราเห็นลักษณะของรุนแรงได้ชัดขึ้น โดยการดูระยะห่างจากราคาปิดกับเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ห่างมากก็มีสิทธิ์กลับตัวสูง ดูตัวอย่างกัน


สรุปคือ เห็นแท่งราคาปิดห่างจาก ema5 มากไป แบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน หรือ เกิน 10% ก็ให้หาจังหวะขายออกได้ครับ





7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

แท่งเทียนกลับตัว - Reversal Candlesticks