Position Sizing - แบ่งขาย เข้า - ออก หรือ Fixed?
Position Sizing - Scale In, Scale Out or Fixed?
สรุปจาก https://x.com/SteveDJacobs/status/1957033301777986026
อีบุ๊ก เคล็ดลึก Position Size ปั้นพอร์ตเล็กให้เติบใหญ่ อย่างมั่นคง
เมื่อคุณมี “กลยุทธ์การเทรด” แล้ว คำถามถัดมาที่สำคัญคือ
“แต่ละไม้ควรลงทุนเท่าไหร่?”
เพราะไม่ว่าจะเข้าถูกจังหวะแค่ไหน ถ้าไซส์ใหญ่เกินไป คุณจะเจ็บหนัก แต่ถ้าเล็กเกินไป ผลตอบแทนก็ไม่คุ้ม
มี 3 วิธีหลักที่นักเทรดใช้กัน:
1) Fixed Size – ลงทุนคงที่
แบ่งเป็น 2 แบบย่อย
(i) Fixed Capital per Trade
จัดสรรเงินจำนวนเท่ากันทุกครั้ง เช่น พอร์ต $100,000 ลงไม้ละ 5% = $5,000 ไม่ว่าจะเป็นหุ้นตัวไหน
✔️ ง่าย
❌ ไม่คำนึงถึง “ความผันผวน” ของหุ้น (หุ้นทุกตัวไม่ได้เสี่ยงเท่ากัน)
(ii) Fixed Risk per Trade
กำหนดก่อนเลยว่าจะเสี่ยง “กี่ % ของพอร์ต” ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง เช่น ยอมเสีย 1R = 1% ของพอร์ต
แล้วคำนวณ Position Size จากจุด Stop Loss และความผันผวน (ATR/ADR)
✔️ เหมาะสมกว่าเพราะอิงความเสี่ยงจริง
✔️ ช่วยควบคุมการขาดทุน
❌ ต้องมีวินัยและคำนวณละเอียด
2) Scale Out – ทยอยขายออก
เข้าซื้อทีเดียวเต็มไซส์ (เช่น 10% ของพอร์ต)
พอราคาขึ้นตามเป้าใน 3–5 วันแรก → ขายออกบางส่วน (เช่น 1/3–1/2) เพื่อ “ล็อกกำไร”
ขยับ Stop Loss ขึ้นมาที่ Break-even หรือสูงกว่า = ทำให้ “ขาดทุนยากขึ้น”
ข้อดี: ลดความกดดัน ปล่อยส่วนที่เหลือวิ่งได้สบายใจ (“free-roll”)
ข้อเสีย: ความเสี่ยงยังสูงในวันแรก ๆ เพราะคุณถือเต็มไซส์ตั้งแต่ต้น
3) Scale In – ทยอยซื้อเพิ่ม
เริ่มจาก “ไม้เล็ก” (เช่น 2.5% ของพอร์ต)
ถ้าหุ้นขึ้นต่อ และปิดสูงกว่าราคาซื้อเฉลี่ย + ยังไม่ Over-extended → ค่อย ๆ เติมเพิ่ม
แต่ละครั้งที่เพิ่ม ต้องปรับ Stop Loss ตามราคาทุนล่าสุด
ข้อดี: เริ่มเล็ก ความเสี่ยงน้อย รอให้ตลาดยืนยันก่อน
ข้อเสีย: ถ้าหุ้นพุ่งแรงเร็ว อาจไม่มีโอกาสเติมเพิ่ม
กฎสำคัญร่วมกัน
ไม่ว่าคุณจะใช้ Fixed, Scale In หรือ Scale Out ควรยึดกฎเหล่านี้:
ตัดขาดทุนไว เสียเล็ก ๆ ดีกว่าเสียใหญ่
ปล่อยให้กำไรโต อย่ารีบขายดอกไม้แล้วไปรดน้ำวัชพืช (Peter Lynch)
อย่าเติมขาดทุน (“Losers average losers”)
ถ้าจะเติม ต้องเติม หุ้นที่ชนะ และมี Setup ใหม่ที่คุณก็จะซื้อแม้ยังไม่ได้ถือ
คิดเป็น Risk/Reward (R) อย่างน้อย 1:2 หรือดีกว่า
อย่าตกเป็นเหยื่อ FOMO – ตลาดมีโอกาสใหม่เสมอ
สรุป
มือใหม่ ควรเริ่มจาก Fixed Risk per Trade → ง่ายต่อการควบคุมอารมณ์และความเสียหาย
เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น → ลองใช้ Scale In เพื่อเพิ่ม Exposure กับหุ้นที่ใช่
หรือใช้ Scale Out เพื่อลดความเสี่ยงและทำให้ “ทุนทางจิตใจ” เบาลง
สุดท้าย ไม่มีวิธีไหนดีที่สุดตลอดเวลา เลือกวิธีที่เหมาะกับบุคลิก, วินัย และเป้าหมายของคุณเองครับ