หลักการแบ่งขายกำไร Partial profit

Image
สนับสนุนโดย  คอร์ส เทรดหุ้นอเมริกา ติดต่อสมัครที่:   https://m.me/zyoit ทำไมการขายบางส่วนที่ 2R ถึงสำคัญ การขาย ⅓ ของพอร์ตเมื่อราคาไปถึง 2R จะได้กำไร +0.67R ถ้าภายหลังราคากลับลงมาโดนจุดตัดขาดทุนเดิม ส่วนที่เหลืออีก ⅔ จะขาดทุน –0.67R → สรุปแล้ว แทบจะไม่ขาดทุน (ใกล้เคียง breakeven) วิธีนี้ช่วย ลดความเสี่ยง, ลดความเครียด และทำให้สามารถถือข้ามแรงเหวี่ยงระยะสั้นได้ เพื่อไปลุ้นกำไรจากแนวโน้มใหญ่หลายเดือน --- วินัยและระบบอัตโนมัติ การตั้งเป้าหมายเป็น “R” ช่วยให้สามารถตั้ง คำสั่งล่วงหน้ากับโบรกเกอร์ (Limit Order/OCO) ได้ เช่น ขาย ⅓ ที่ 2R ขายอีก ⅓ ที่ 5R วิธีนี้ทำให้กระบวนการขายเป็นระบบที่ชัดเจนและ ไม่ต้องตัดสินใจซ้ำๆ เวลาตลาดเคลื่อนไหว --- หมายเหตุการเข้าออก (Execution Notes) ตัดสินใจเรื่อง Stop/โครงสร้างตลาด ตอนสิ้นวัน เว้นแต่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น Gap ใหญ่เกินเป้าหมาย หรือหลุดแนวโครงสร้างชัดเจน ถ้าราคาเปิดกระโดดผ่าน 2R หรือ 5R ก็ขายที่ราคาที่ทำได้ดีที่สุด และถือว่าการเทรดนั้น ลดความเสี่ยงแล้ว จากนั้นย้าย Stop ไปตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 สัปดาห์ (10-WMA) สรุป: ใช้ระบบขายบ...

สัมภาษณ์ Christian Flanders - Mindset นักเทรดผู้ชนะ จากนักโป๊กเกอร์ สู่ยอดนักเทรด

แปลจากคลิป The 3 Trading Lies That Are Keeping YOU Broke (Christian Flanders Exposes the Truth!)



กลยุทธ์การเทรดแบบ “ความน่าจะเป็น” นั้น บางทีก็เต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ ถ้ามันไม่เวิร์ก ก็เท่ากับเดินลัดตรงไปสู่ความยากจนเลย คุณต้องเรียนรู้วิธีขับ “รถกระป๋องเก่า ๆ” ก่อน ถึงจะไปขับ “แลมโบกินี” ได้ และตอนนี้คุณกำลังเล่นด้วยเงินของเจ้ามือแล้ว ว้าว—นี่คือสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากกำลังทำอยู่ ใช้เงินเหมือนเป็นเงินของคาสิโน


Trader’s Journey: กว่าจะสำเร็จ...นักเทรดต้องเจออะไรบ้าง? มีจำหน่ายเป็นอีบุ๊กที่ https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=270047


แขกรับเชิญของเราวันนี้จะมาเล่าถึงเรื่องนี้กันครับ สวัสดีตอนเช้า ไมค์

—สวัสดีตอนเช้า เดนนิส


ผมคิดว่า คริสเตียน อาจจะเน็ตค้างไปนิดหน่อย แต่เดี๋ยวเขาจะกลับมาแน่นอน งั้นเราไปต่อกันก่อนดีกว่า


แล้วถ้ากลยุทธ์ที่คุณกำลังใช้เพื่อพัฒนาตัวเองในฐานะเทรดเดอร์ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้คุณติดอยู่ที่เดิม ไม่สามารถก้าวหน้าได้ล่ะ? ฟังดูแย่ใช่ไหม แล้วถ้าสิ่งที่คุณถูกสอน ถูกบอกว่าเป็น “วิธีที่ฉลาด ดูสมเหตุสมผล” จริง ๆ แล้วกลับกำลังฆ่ากำไรของคุณอยู่


วันนี้เราจะเจาะลึก “3 ความเชื่อผิด ๆ” ที่กำลังทำให้คุณเสียเงิน และเราจะเปิดโปงความจริง พร้อมบอกว่าควรทำอะไรแทน


ยินดีต้อนรับสู่รายการ Trading Truths

ผม เดนนิส วิลบอร์น ผู้ก่อตั้ง Autopilot Trading ร่วมกับโคโฮสต์ของผม ไมค์ แนะนำตัวหน่อยครับ


—สวัสดีครับทุกคน ผม ไมค์ ลามอนท์ จาก Marrow Wealth

และทุกสัปดาห์ เราจะมานั่งถอดรหัสความเชื่อผิด ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในวงการเทรด เผยความคิดจำกัดที่ฉุดรั้งนักเทรดไว้ และช่วยให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจและประสบความสำเร็จมากขึ้น


วันนี้เรามีแขกรับเชิญพิเศษ คริสเตียน แฟลนเดอร์ส เทรดเดอร์ที่ทำผลงาน กำไร 433% ในการแข่งขัน U.S. Investing Championship เมื่อปีที่แล้ว คริสเตียนสร้างความสำเร็จจากทั้งชัยชนะและความผิดพลาด รักษากลยุทธ์ให้เรียบง่าย และเหนือสิ่งอื่นใดคือ การบริหารความเสี่ยง


—ยินดีต้อนรับครับ คริสเตียน

—ขอบคุณมากที่เชิญมาครับ


และเรายังมีเกร็ดเล็กน้อยที่คนอาจไม่รู้ คุณเคยบอกว่า “การขาดทุนมีค่าพอ ๆ กับการชนะ” เพราะสิ่งที่มันสอนเราได้ อยากให้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก่อนเข้าสู่หัวข้อหลัก เพราะผมเองตอนเริ่มเทรดใหม่ ๆ ก็หมกมุ่นกับคำว่า “ต้องชนะ ต้องกำไร” อย่างเดียว จนมีทัศนคติที่แย่มากเกี่ยวกับการแพ้


—ใช่ครับ การขาดทุนเป็นส่วนสำคัญของการเทรดเลย เพราะถ้าไม่มีใครขาดทุน มันก็คงไม่เรียกว่า “การเทรด” หรอก คงเรียกว่า “การชนะ” ไปแล้ว ความเสี่ยงต้องมากับรางวัลอยู่แล้ว เป้าหมายของเราคือทำให้การขาดทุนเล็กที่สุด และใช้เวลาติดอยู่ในสถานะขาดทุนให้น้อยที่สุด เพราะถ้าคุณปล่อยให้มันอยู่นาน มันไม่แค่ล็อกเงินคุณเอาไว้ แต่ยังล็อกสมองคุณด้วย


สำหรับผม ถ้าติดลบ ผมอยากออกให้เร็วที่สุดดีกว่า จะให้โดนตัดขาดทุนตั้งแต่ 30 นาทีแรกหลังเปิดออเดอร์ยังดีกว่าไปนั่งทนดูมันหลายวัน


แล้วก็มีนักเทรดคนหนึ่งบอกผมว่า เขาเกลียดการโดนตัดขาดทุนเร็ว ๆ รู้สึกไม่ชอบ ผมก็บอกไปเลยว่า “ส่วนใหญ่ผมโดนตัดขาดทุนภายในชั่วโมงแรกนะ เพราะผมอยากรู้ให้เร็วว่า ผมถูกหรือผิด”


คริสเตียนเองก็มีเรื่องราวน่าสนใจ เขาเคยเป็นนักโป๊กเกอร์อาชีพมาก่อน และนำประสบการณ์นั้นมาสู่การเทรด


—ตอนผมเรียนมหาลัย มันเป็นยุคบูมของโป๊กเกอร์ออนไลน์เลยครับ มีอินเทอร์เน็ตที่เร็วพอ และการถ่ายทอดสดที่โชว์ไพ่ในทัวร์นาเมนต์ ทำให้โป๊กเกอร์ระเบิดความนิยม ผมเล่นแล้วทำกำไรได้เยอะ จนจ่ายค่าเทอมปีสุดท้ายได้เอง


หลังเรียนจบก็ไปทำงานที่บริษัท Prop Trading เทรดพันธบัตรกับฟิวเจอร์ส แต่บริษัทเจ๊งช่วงวิกฤตปี 2007–2008 ผมก็เลยกลับไปเล่นโป๊กเกอร์เต็มตัว เล่นเป็นอาชีพอยู่นานเกือบ 10 ปี


จนสุดท้ายผมอยากกลับมาเทรดจริงจัง ก็เลยเก็บเงินไว้พอที่จะเลี้ยงตัวเอง ภรรยา และวางแผนครอบครัวได้ ผมถึงตัดสินใจเลิกโป๊กเกอร์มาเทรดเต็มเวลา แต่บอกตรง ๆ ว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเตรียมตัวให้มากกว่านี้ก่อนโดดมาเต็มตัว


เพราะปีแรกที่ผมเทรดจริงจัง (2017) ตลาดมันใจดีมาก ซื้ออะไรก็ขึ้น เลยทำให้ผมคิดไปเองว่า ปีต่อ ๆ ไปก็คงได้กำไรเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม แต่จริง ๆ แล้ว ปี 2018 ก็ทำให้ผมรู้จักกับ “ความผันผวน” และ “ความจริงอันโหดร้าย” ของตลาด


คุณรู้ไหม การเล่นโป๊กเกอร์มันคือการ “ชนะทีละมาก ๆ แพ้ทีละมาก ๆ” ทุกวัน แต่ตอนนั้นภรรยาผมยังมีงานประจำ มีรายได้ที่มั่นคง เวลาผมกลับบ้านแล้วบอกว่า “วันนี้แพ้เยอะเลย” หรือ “วันนี้ชนะเพียบ” มันก็ยังไม่กระทบเธอเท่าไหร่ เพราะเธอยังมีรายได้ของตัวเอง


แต่พอเธอเลิกทำงาน ไม่ได้หาเงินแล้ว อยู่บ้านเลี้ยงลูกแทน ทุกอย่างเปลี่ยนไปเลย เวลาผมกลับบ้านแล้วบอกว่า “วันนี้พังยับเลย” หรือ “วันนี้โดนหนักมาก” มันกลายเป็นภาระทางอารมณ์ที่เธอต้องรับโดยตรง ซึ่งสำหรับผมเอง หลังจากเล่นโป๊กเกอร์มาเก้าปี ผมชินกับการขึ้น ๆ ลง ๆ ของมันแล้ว แต่สำหรับเธอ มันโคตรยากที่จะรับมือ


—ถ้าคุณไม่อยากตอบคำถามนี้ก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่ผมอยากรู้ คุณไม่ได้แค่ต้องจัดการอารมณ์ตัวเอง คุณยังต้องจัดการอารมณ์ของภรรยาด้วย คุณทำอย่างไรครับ?


—ผมเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากครับ และมั่นใจว่าสักวันหนึ่งมันจะ “คลิก” และทำกำไรได้จริง เธอรับรู้ได้ถึงความเชื่อมั่นตรงนั้น ผมบอกกับเธอเสมอว่า “ผมจะหาทางได้แน่ ๆ ผมจะทำให้มันเวิร์ก” เพราะถ้าโป๊กเกอร์ที่ยากขนาดนั้นผมยังทำได้ ผมก็จะหาทางทำกับการเทรดได้แน่นอน เราคุยกันเยอะมากครับว่าจะทำอย่างไรให้สำเร็จ มันไม่ง่ายเลย แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เธอทนและเชื่อใจได้ก็คือ ความเชื่อมั่นที่ผมมีอย่างแรงกล้าว่าผมจะทำสำเร็จ


—สุดยอดเลยนะครับ นั่นหมายความว่า “ความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่น” ของคุณเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไว้ใจและยอมเดินตามคุณ


—ใช่ครับ ผมมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก


—เยี่ยมจริง ๆ ครับ เพราะผมกับภรรยาเองเป็นโค้ชที่ปรึกษาคู่แต่งงาน เราแต่งงานกันเกือบ 51 ปีแล้วในเดือนเมษายนนี้ และเราเคยให้คำปรึกษามามากกว่า 350 คู่ สิ่งที่คู่รักส่วนใหญ่ล้มเหลวคือ “การสื่อสาร” แต่จากเรื่องราวของคุณ ผมว่าคุณกับภรรยามีการสื่อสารที่แข็งแรงและสม่ำเสมอมาก


—ก็จริงครับ เธอสื่อสารกับผมแน่นอน… อาจจะไม่ใช่ด้วยวิธีที่นุ่มนวลนัก (หัวเราะ) แต่เธอทำให้ผมรู้ชัดว่าเธอรู้สึกยังไง โดยเฉพาะพอเข้าปีที่ 4–5–6 แล้ว เธอก็จะพูดว่า “ถ้าเราซื้อกองทุน S&P อย่างเดียว เราคงได้กำไรมากกว่านี้ตั้งเยอะ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?” ผมก็ตอบเธอว่า “รออีกนิดนะ ที่รัก… พอวันหนึ่งมันคลิกขึ้นมาจริง ๆ มันจะคุ้มค่าแน่ ๆ”


ผมยกตัวอย่างให้เธอฟังว่า มาร์ค มินาวินี (Mark Minervini) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดในรอบ 30 ปี ยังใช้เวลา 7 ปีเต็ม กว่าจะก้าวข้ามจุดนั้นไปได้ ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่สุดจริง ๆ มันต้องใช้เวลา


—ดีครับ ก่อนที่เราจะเข้าสู่หัวข้อ “ความเชื่อผิด ๆ” ผมมีคำถามกับคริสเตียนอีกข้อหนึ่งนะ คุณเคยเป็นนักโป๊กเกอร์อาชีพมาก่อน อะไรคือ “ทักษะหรือพฤติกรรม” ที่คุณพกติดตัวมาและใช้ได้กับการเทรด?


—สิ่งที่ใหญ่ที่สุดจากโป๊กเกอร์คือ ตอนผมเล่นออนไลน์ ผมมักจะเล่นพร้อมกัน 10–16 โต๊ะ แต่ละโต๊ะมีผู้เล่น 6 คน ซึ่งในนั้น 4 คนจะเป็นโปรอีกคนหนึ่งเป็นมือสมัครเล่น ซึ่งโป๊กเกอร์เป็นเกมที่ “ผลรวมติดลบ” เพราะเจ้ามือเก็บค่าธรรมเนียมที่เรียกว่า Rake ทุกตา คุณไม่ใช่แค่ต้องเก่งกว่าอีก 5 คน แต่คุณต้องเก่งพอที่จะชนะให้มากกว่าค่าธรรมเนียมด้วย


ถ้าคุณไม่ใช่ผู้เล่นที่เก่งที่สุดหรือเก่งรองลงมา คุณแทบไม่มีทางอยู่รอด ผู้เล่นที่อ่อนกว่าก็จะถูกคัดออกไปเรื่อย ๆ เหลือแต่คนเก่งที่สุดมานั่งสู้กัน และโปรที่เก่ง ๆ จะเล่นหลายโต๊ะพร้อมกัน คุณแทบจะเจอหน้าเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา


ดังนั้นวิธีเดียวที่จะอยู่รอดได้คือ คุณต้องทำการบ้านนอกโต๊ะเยอะมาก ต้องใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ เช่น Holdem Manager หรือ Poker Tracker ที่บันทึกทุกตาที่คุณและคู่แข่งเล่น เพื่อแยกวิเคราะห์หาจุดแข็งจุดอ่อน ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นทักษะที่ผมยกมาสู่การเทรดได้ตรง ๆ เลย คือการ ทำงานเมื่อ “ตลาดปิด” เพื่อรักษาความได้เปรียบ


ตลาดหุ้นจริง ๆ แล้วโหดกว่าโป๊กเกอร์อีก เพราะกำไรจากโป๊กเกอร์จำกัดอยู่แค่เงินที่ผู้เล่นคนอื่นใส่มาในกองกลาง แต่ตลาดการเงิน ไม่มีขีดจำกัดของผลกำไร เพราะงั้นการแข่งขันมันเข้มข้นยิ่งกว่า


—ฟังดูเหมือนว่า สิ่งที่คุณได้จากโป๊กเกอร์คือ “วินัยในการทบทวนและสะท้อนตัวเอง” ใช่ไหมครับ นั่นแหละที่ทำให้คุณพัฒนาเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งขึ้น

—ใช่ครับ อีกสิ่งหนึ่งที่โป๊กเกอร์สอนผมก็คือ ตอนเริ่มแรก ผมเป็นคนกลัวความเสี่ยงพอสมควร แต่โป๊กเกอร์ฝึกให้ผมเรียนรู้ว่า…

—ในโป๊กเกอร์ คุณต้อง กล้าเสี่ยงแบบสุด ๆ เวลาได้เปรียบ คุณต้องบีบให้ได้กำไรสูงสุดจากทุกโอกาส นั่นแหละที่มันสอนผมให้เป็นคน “บุกอย่างมั่นใจ” ซึ่งผมก็เอามาใช้ในการเทรดด้วย ถ้าผมเห็นว่าเจอ A+ Setup หรือจังหวะที่ดีที่สุด ผมก็จะใส่เงินก้อนใหญ่ไปเลย


แต่ปัญหาคือ… ผมใช้เวลานานมากกว่าจะเรียนรู้ว่า “เมื่อไหร่ควรยกเท้าออกจากคันเร่ง”


—จริงครับ นั่นแหละที่ยากที่สุด เอาล่ะ งั้นเราเข้าเรื่อง 3 ความเชื่อผิด ๆ (Trading Myths) ที่อยากถอดรหัสกันวันนี้เลยดีไหม

—ได้ครับ เริ่มจาก ความเชื่อผิดที่ 1: เรียนรู้จากการเทรดเพียงอย่างเดียว

มือใหม่หลายคนคิดว่าแค่เทรดบ่อย ๆ ก็จะเก่งขึ้น โดยไม่ต้องจดบันทึกหรือทบทวนการเทรด แต่ความจริงคือ… ถ้าไม่ทบทวน คุณจะไม่มีวันพัฒนา


—ใช่เลยครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะในเกมนี้ ถ้าคุณไม่ใช้เวลาเยอะ ๆ ในการ รีวิวและทบทวนการเทรดของตัวเอง


ตอนที่ผมเริ่มต้นใหม่ ๆ เวลาขาดทุนต่อเนื่อง ผมไม่อยากอัปเดตบันทึก ไม่อยากเขียน Journal เลยครับ เพราะมันเจ็บปวดเกินไปที่จะมองหน้าความจริง คิดดูสิ คุณให้ภรรยาเลิกงาน ย้ายไปอยู่เกาะเพื่อมาทำสิ่งนี้ แล้วดันแพ้ติด ๆ กันอีก มันกดดันทั้งจิตใจและอารมณ์หนักมาก


แต่ความจริงคือ วิธีเดียวที่จะชนะได้ คือคุณต้องเผชิญหน้ากับมัน


ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ผมเป็นเมนเทอร์ให้ เขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะยอมบันทึกการเทรด เขามีข้ออ้างสารพัด—

“โบรกเกอร์ก็มีประวัติเทรดให้อยู่แล้ว”

“ผมเทรดด้วยความรู้สึก มันไม่จำเป็นต้องจด”

“ผมจำได้หมดแหละ ไม่ต้องบันทึกหรอก”


แต่ทั้งหมดนั่นคือเรื่องไร้สาระครับ เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะจำรายละเอียดทุกอย่างได้ และเขาก็ยอมรับกับผมตรง ๆ ว่า “จริง ๆ แล้วไม่อยากเห็นความผิดพลาดของตัวเองมานั่งจ้องหน้าอยู่ทุกวัน”


ผมเข้าใจเลยครับ เพราะผมก็เคยรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน มันโหดมากที่จะเห็นข้อผิดพลาดตัวเองชัด ๆ อยู่ตรงหน้า แต่ก็จำเป็น—เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะพัฒนา


ผมอยู่ในกลุ่มเทรดเดอร์ด้วยกัน เคยแนะนำเพื่อนว่า “ลองย้อนกลับไปปรับวิธีการออกจากไม้ (Exit) ดูสิ”

อย่างเช่น ใช้ Trailing Stop 10 วัน แทน 20 วัน เขาก็ลองทำแล้วพูดขึ้นมาว่า

“โอ้โห แค่เปลี่ยนตรงนี้ ผมจะได้กำไรเพิ่มขึ้น 25% ในปีที่แล้วเลยนะ!”


เห็นไหมครับ แค่เปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้ผลต่างเป็น +40% +50% หรือแม้แต่ +70% ได้แล้ว


ผมยังจำได้ตอนเข้าโปรแกรม Master Trader ที่ไปเรียนกัน มีคนเข้าร่วมเกินร้อย พิธีกรถามว่า “ใครที่บันทึกการเทรดตัวเองบ้าง—เช่นค่าเฉลี่ยกำไร/ขาดทุน หรือ Win Rate” ปรากฏว่ามีคนยกมือแค่ 10% เท่านั้น


ลองคิดดูสิครับ พวกนี้คือนักเทรดที่ลงทุนทั้งเวลา ทั้งเงิน มาเรียนสุดสัปดาห์ แต่กลับมีเพียง 10% เท่านั้นที่ทำในสิ่งสำคัญที่สุด


และนี่คือความจริง:

ถ้าคุณอยาก “ชนะ” คุณต้องอยู่ในกลุ่ม 10% แรก

แต่ถ้าคุณอยาก “ชนะใหญ่ ๆ” คุณต้องอยู่ในกลุ่ม 1% แรก หรือแม้แต่ 0.1%


และวิธีเดียวที่จะทำได้คือ—ทำในสิ่งที่นักเทรดส่วนใหญ่ “ไม่สามารถ” หรือ “ไม่ยอม” ทำ

—ใช่ครับ ฟังแล้วน่าสนใจมาก เพราะถึงแม้คนเหล่านั้นจะมีแรงบันดาลใจ แต่ 90% ยังอยู่ในขั้น “อยากเป็น” ไม่ใช่ “ลงมือทำแบบ Master Trader จริง ๆ”


เพราะการนั่งหน้าจอนาน ๆ ไม่ทำให้คุณเก่งขึ้น ถ้าไม่ได้ทบทวน คุณก็แค่ทำผิดซ้ำ ๆ


ผมเองก็เคยเป็น พอทบทวนการเทรดของตัวเองเจอว่า แต่ละปีจะมีไม่กี่ไม้หรอก ที่ผมไม่ยอมตัดขาดทุนตรงเวลา ปล่อยเลย 5% Stop Loss สุดท้ายไม่กี่ไม้นั้นแหละที่ ทำให้ปีนั้นพังทั้งปี


จนผมปรับเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ยึดวินัยกับ Stop Loss ก็เปลี่ยนจากขาดทุน → กลายเป็นทำกำไรได้สม่ำเสมอมา 13 ปีติดต่อกัน

—เยี่ยมมากครับ และผมชอบคำพูดนี้เลย “ระดับการเติบโตของคนเราจะขึ้นอยู่กับ ‘ปริมาณความจริง’ ที่เรากล้ายอมรับเกี่ยวกับตัวเอง โดยไม่วิ่งหนี”


โห… คำคมนี้ทรงพลังมาก

—ใช่ครับ อีกอย่างคือ ผมมีปรัชญาว่า ข้อแก้ตัวทุกอย่าง = คำโกหก เพราะสุดท้ายมันก็แค่ทางหนีของตัวเราเอง

—คริสเตียน ผมอยากถามเพิ่มตรงที่คุณพูดว่า “บางคนไม่สามารถทำได้ (Unable) กับบางคนไม่ยอมทำ (Unwilling)” คุณมองว่ามันต่างกันยังไงครับ?

—จริง ๆ มันก็เกี่ยวโยงกันนะครับ แต่ยกตัวอย่างเพื่อนผมก็ได้…


—ผมจะยกตัวอย่างเพื่อนผมนะ จริง ๆ เขา “ทำได้” แต่เขา “เลือกที่จะไม่ทำ” ดังนั้นจะบอกว่าเขา “ไม่สามารถ” คงไม่ถูก ต้องบอกว่าเขา “ไม่ยอมทำ” มากกว่า ซึ่งนักเทรดส่วนมากก็เป็นแบบนี้ครับ พวกเขาไม่ยอมทำในสิ่งที่ “จำเป็น” ถ้าอยากจะก้าวขึ้นมาเหนือฝูงชน เพราะการแข่งขันมันโหดมาก ๆ มีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์บนสุดเท่านั้นที่จะชนะได้ ถ้าคุณไม่ยอมทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองแตกต่างออกไป ก็เลิกหวังได้เลยว่าจะทำกำไรยั่งยืน


—น่าสนใจครับ งั้นคำถามคือ คนเราจะเปลี่ยนจาก “ไม่ยอมทำ” ไปเป็น “ยอมทำ” ได้อย่างไร?

—คุณต้องเลือกครับ แค่นั้นเอง “การชนะ” คือ การเลือก

—โห ฟังแล้วคิดตามเลย งั้นนิยามของ “การชนะ” สำหรับคุณคืออะไรครับ? เพราะหลายคนคิดว่าการชนะคือการทำกำไรตลอดเวลา แต่สำหรับคุณแล้วมันหมายถึงอะไร?


—สำหรับผม “การชนะ” หมายถึงการ เอาชนะดัชนีใหญ่ ๆ อย่าง S&P หรือ NASDAQ ได้ในระยะยาว ครับ 5–10–15 ปีขึ้นไป ผมใช้เวลาถึง 7 ปีเต็มกว่าจะทำได้จริง ๆ ในช่วง 6 ปีแรกผมมีกำไรนะ แต่ก็ยังแพ้ดัชนีแบบขาดลอยเลย สมมติ 6 ปีรวมกันได้แค่ +50% เท่านั้น แต่พอถึงปีที่ 7 ที่ระเบิดผลตอบแทนใหญ่ ๆ ได้ มันทำให้ผม “ชนะดัชนี” แบบทิ้งห่างทันที


ดังนั้นสำหรับผม “การชนะ” ไม่ได้หมายความว่าต้องกำไรทุกวันหรือทุกเดือน ปีที่แล้วครึ่งหนึ่งของเดือนผมก็ยังขาดทุนอยู่เลยครับ แต่มันคือการมองแบบ ระยะยาว และที่สำคัญที่สุดคือ พลังของการทบต้น (Compounding) ถ้าคุณทำได้ต่อเนื่อง 5, 10, 20 ปี ลองใส่ตัวเลขในเครื่องคิดเลขทบต้นดูครับ คุณจะทึ่งเลยว่ามันไปได้ไกลแค่ไหน


—แล้วถ้าใครอยากเทรดเป็นอาชีพจริง ๆ ต้องทำยังไงครับ เพราะอย่างที่คุณบอก มันไม่ได้ชนะทุกวัน แล้วจะหาเงินเลี้ยงชีพยังไง?


—ถ้าอยากเทรดเป็นอาชีพ ผมบอกเลยว่าอย่างน้อยที่สุดคุณต้องมีเงินเก็บ พอใช้ได้ 2 ปีเต็ม โดยไม่ต้องมีรายได้ และพอร์ตที่ใหญ่พอจะทนต่อการขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดของคุณ (เผื่อไว้ 2 เท่า) แล้วคุณยังอยู่รอดได้ ต้องคิดเผื่อไว้ที่ Worst Case เลย


ตอนผมเลิกโป๊กเกอร์มาเทรด ผมไม่มี “อาชีพสำรอง” ให้กลับไปทำเหมือนหลาย ๆ คนที่ผมเจอตามงานสังสรรค์ของมินาวินี (Mark Minervini Gala) หลายคนอยากเป็น Full-time Trader เหมือนกัน แต่เขายังมีอาชีพเก่าให้พึ่งถ้าเจ๊งขึ้นมา แต่ผมไม่มีครับ ผม “เทหมดหน้าตัก” กับการเทรดจริง ๆ


—คริสเตียน คุณนิยามว่าการชนะคือการเอาชนะ NASDAQ ได้ในระยะยาว ซึ่งมันเป็นเหมือน “ผลงานรวมทั้งปี” ทั้งกำไรและขาดทุนรวมกัน ทีนี้คำถามคือ คุณแบ่งย่อย “การชนะ” ของคุณออกมาในระดับสัปดาห์ไหม หรือคุณโฟกัสที่กระบวนการเป็นหลัก?


—แน่นอนครับ ผมโฟกัสที่กระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์ทางการเงิน เพราะถ้าคุณมัวแต่มองเรื่องเงิน คุณจะทำผิดพลาดแน่นอน สิ่งที่ผมทำคือถามตัวเองว่า

วันนี้ผมทำผิดพลาดอะไรไหม?

ทำไมผมถึงทำพลาด?

ผมทำตามแผนหรือเปล่า?


ความผิดพลาดอาจเป็นการเข้าไม้ที่อยู่นอกแผน การจัดพอร์ตไม่เหมาะสม จะเล็กไปหรือใหญ่ไปก็ได้ มีความผิดพลาดเป็นพันแบบที่เกิดขึ้นได้ในเทรด


สิ่งสำคัญคือทำให้ความผิดพลาดน้อยที่สุด เพราะเรายังไงก็เป็นมนุษย์ ต้องพลาดอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณโฟกัสที่กระบวนการ ผลลัพธ์มันจะตามมาเอง


ผมชอบคำพูดหนึ่งมากครับ “P&L เป็นตัวชี้วัดที่ล่าช้า (Lagging Indicator)” คุณจะเก่งขึ้นก่อนที่ตัวเลข P&L จะสะท้อนออกมา และบางทีมันล่าช้าไปนานเลยด้วยซ้ำ


—ถูกต้องครับ หลายคนเอา P&L มาเป็นไม้บรรทัด แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ควรใช้วัดคือ กระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์ เช่น บางไม้คุณอาจแพ้ แต่ถ้าคุณเล่นตามแผน มันก็คือการชนะแล้ว


ปัญหาคือหลายคนพอแพ้ติด ๆ กันแค่ 3 ไม้ ก็ถอดใจทิ้งระบบไปเลย ทั้งที่ผมเองปีที่แล้วเคยแพ้ติดกัน 27 ไม้รวด มาแล้วนะครับ นั่นแหละ… นี่คือเกมของคนที่มี Win Rate แค่ราว ๆ 30% คุณต้องยอมรับว่าการแพ้ยาว ๆ แบบนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเกม


—แล้วคุณรักษาความเชื่อมั่นยังไง หลังจากแพ้ติดกัน 27 ไม้รวด?

—คุณต้อง ลดขนาดไม้ (Size Down) ครับ เพราะถ้าคุณทำการบ้านมามากพอ ศึกษาตลาด รู้ว่าหุ้นมันเคลื่อนไหวยังไง คุณก็จะมั่นใจว่าสุดท้ายโอกาสใหม่มันจะมาเสมอ เรื่องมันแค่เวลาเท่านั้นเอง ผมไม่เอาการขาดทุนมาโยงเข้ากับตัวเอง ไม่คิดว่า “ฉันแพ้ = ฉันคือคนแพ้” สำหรับผมมันแค่ “ไม้ไม่เวิร์ก” ก็เท่านั้น


ผมมองการเทรดเป็น “ธุรกิจ” ครับ มันคือ ต้นทุนของการเข้ามาเล่นในเกมนี้ (Cost of Admission) เหมือนคุณเปิดร้านขายเสื้อผ้า ไม่ใช่ทุกตัวที่คุณเอามาขายจะขายออกหมดหรอก บางตัวก็ต้องลดราคา บางตัวต้องเอาไปบริจาค นั่นแหละคือ Stop Loss


—แต่ปัญหาใหญ่ของเทรดเดอร์คือ “กลัวเสียกำไรเล็ก ๆ” เลยขายออกเร็วเกินไป คุณเคยเจอปัญหานี้ไหม แล้วคุณเปลี่ยนมายด์เซ็ตยังไง?


—อันนี้เป็นสิ่งที่คุณต้อง “เห็นด้วยตาตัวเอง” ถึงจะเข้าใจครับ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไม การบันทึกการเทรด ถึงสำคัญ คุณต้องลองกลับไปเปิดบันทึกการเทรด แล้วเปลี่ยน “วิธีออก” สมมติลองใช้ Trailing Stop 10 วัน, 20 วัน, 50 วัน แล้วดูว่า ถ้าคุณปล่อยให้กำไรวิ่งแทนที่จะตัดเร็วเกินไป มันจะต่างแค่ไหน


ผมเองพอทำแบบนี้แล้วก็พบว่า กำไรผมจะเพิ่มขึ้น 3 เท่า เลยครับ แม้แต่ปีที่แล้วที่ผมทำผลตอบแทน +400% ถ้าผมปล่อยให้ไม้ชนะวิ่งได้นานกว่านี้ กำไรจะกลายเป็น +800% หรือแม้แต่ +1200% ได้เลย


นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณต้องบันทึกการเทรด เพราะคุณจะได้ “เห็นเอง” ว่าถ้าคุณไม่รีบตัดกำไร ผลลัพธ์จะต่างออกไปขนาดไหน


—ใช่ครับ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมมอง “การจดบันทึก (Journaling)” เป็นทักษะจริง ๆ เพราะถ้าคุณไม่มีระบบบันทึกที่ดี คุณก็ไม่มีทางกลับไปหาคำตอบได้เลยว่าคุณควรแก้ตรงไหน


—ถูกต้องครับ นี่มันคือ งานหนักในกระบวนการ เลย James Clear เขียนไว้ใน Atomic Habits ว่า “ระดับที่ต่ำที่สุดของความสำเร็จคือการโฟกัสที่ผลลัพธ์” แต่ถ้าอยากเป็น “ผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ” คุณต้องโฟกัสที่ กระบวนการ ให้กระบวนการกำหนดผลลัพธ์ และสุดท้ายมันจะหล่อหลอมเป็นตัวตนของคุณ


—โอเค กลับมาที่ประเด็นหลักนะครับ คริสเตียน คุณจัดการกับแรงกดดันทางอารมณ์ยังไง เวลาที่คุณอยู่ในไม้ที่กำลังมีกำไรใหญ่ ๆ แต่ยังไม่ปิด?


—สำหรับ Stop Loss ผมใช้วิธีง่าย ๆ ครับ คือใช้ Low ของวันนั้น ที่ผมเข้าเป็นจุด Stop แค่นั้น ไม่ซับซ้อน ส่วนปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่ตรงนี้ ปัญหาที่หนักที่สุดคือ “การปล่อยให้ไม้กำไรใหญ่ ๆ วิ่งต่อ”


โดยเฉพาะเวลาที่คุณเทรดเลี้ยงชีพจริง ๆ ภรรยาเองก็ยังไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ผ่านมา คุณต้องจ่ายบิลทั้งหมด และเงินทุกบาทก็อยู่ในบัญชีเทรดของคุณ มันกดดันมหาศาลจริง ๆ


ผมคุยกับเทรดเดอร์หลายคน ทั้งในงานกาล่า ทั้งในทวิตเตอร์ สิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันคือ พวกเขาไม่ปล่อยให้ไม้กำไรใหญ่ ๆ วิ่งต่อ ผมเองก็ยังเจอปัญหานี้เหมือนกัน อยากบอกว่าผมทำตามกฎได้เหมือนหุ่นยนต์ แต่จริง ๆ ไม่ใช่ครับ


เพราะเพื่อได้ผลตอบแทนระดับนั้น คุณต้องใช้เลเวอเรจสูงมาก และเมื่อมันย่อตัว หุ้นทุกตัวในพอร์ตมันจะดึงลงพร้อมกันหมด ทำให้แรงกดดันต่อพอร์ตและจิตใจหนักมาก นี่แหละคือ “ด่านที่โหดที่สุด” ของการเทรด


มนุษย์เรา เกลียดที่จะเห็นกำไรหายไป นั่นแหละปัญหา

—แล้วคุณคิดว่า “คอมมูนิตี้” หรือกลุ่มคนรอบตัว มีผลกับการรักษาวินัยและยึดมั่นในกฎการเทรดของคุณไหม?

—“คอมมูนิตี้” ที่คุณพูดถึง หมายถึงครอบครัว หรือหมายถึงกลุ่มนักเทรดครับ?

—จริง ๆ แล้วเป็นได้ทั้งสองครับ เพราะคนรอบตัวมีผลมาก


ครอบครัวอาจเป็นเสียงในหูเราว่า “เราต้องจ่ายบิลนะ ตู้เย็นเริ่มว่างแล้วนะ” สิ่งเหล่านี้ก็กดดันเราให้เผลอออกนอกแผนได้เหมือนกัน หรือถ้าเราอยู่ในคอมมูนิตี้นักเทรด ไม่ว่าจะออนไลน์หรือออฟไลน์ ถ้าเห็นบางคนทำตามกฎ หรือบางคนเทรดแบบ “บ้าระห่ำ” มันก็อาจทำให้เราหลุดกรอบได้เช่นกัน


—ใช่ครับ ปีที่แล้วจุดเปลี่ยนใหญ่ของผมคือ การควบคุม Drawdown โดยเฉพาะตอนเข้าร่วมการแข่งขัน ผมตั้งใจเลยว่าจะต้องโพสต์ผลลัพธ์ทุกเดือนให้ทุกคนเห็น เพื่อสะท้อนการขึ้นลงจริง ๆ ของพอร์ต และผมไม่อยากเป็นเหมือนบางคนที่โชว์ว่า +300% แค่สองเดือนแรก แล้วหายไปเลย ซึ่งเรารู้กันแหละว่า “เขาเจ๊ง” ผมไม่อยากเจ๊ง ผมไม่อยากให้พอร์ต Drawdown หนัก ๆ เลยเลือกเล่นแบบคงเส้นคงวาแทน


ดังนั้นในแง่นี้ “คอมมูนิตี้” ช่วยผมได้มากครับ มันเหมือนมีคนมานั่งดูการเทรดของผมอยู่ตลอดเวลา


แต่บอกตรง ๆ นะครับ ผมไม่ได้ทำตามกฎได้ 100% หรอก ความกดดันจากกำไรที่แกว่งแรง ๆ มันทำให้ผมเผลอทำผิดกฎอยู่บ้าง และนั่นคือสิ่งที่ผมยังต้องต่อสู้ โดยเฉพาะการ “ปล่อยให้ไม้กำไรใหญ่ ๆ วิ่งต่อ” นี่คือกฎที่ยากที่สุดสำหรับผมเลย


—แล้วคุณใช้วิธีอะไรบ้างครับ ที่จะช่วยให้คุณปล่อยให้ไม้กำไรวิ่งได้ เช่น การตั้ง Conditional Orders เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ตัดสินใจตอนที่ไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง?

—ใช่ครับ วิธีนั้นดีมากเลย การตั้งคำสั่ง Stop Loss หรือ Trailing Stop ล่วงหน้า แล้วไม่ไปยุ่งกับมัน ถือว่าเป็นวิธีที่ดีมาก ๆ ผมก็แนะนำเพื่อนที่ผมเป็นเมนเทอร์ให้ทำแบบนี้ “เข้าไม้แล้วก็ใส่ Stop ไว้เลย จากนั้นก็ปิดจอไปซะ ไม่มีอะไรที่คุณจะทำได้มากกว่านี้แล้ว”


แต่ในความจริง ถ้าคุณมีสถานะหลายไม้ ใช้เลเวอเรจสูง เช่น 2.5 เท่าของพอร์ตทั้งหมด มันโคตรยากที่จะเดินหนีไปไม่ดูตลาด เพราะความผันผวนมันแรงมากครับ

—เข้าใจเลยครับ ผมเองตอนเริ่มเทรดก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน คือเฝ้าหน้าจอตลอด เพราะคิดไปเองว่า ถ้าเฝ้าดูตลาดมากพอ เราจะ “มีอิทธิพล” กับมันได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันบ้าไปเลย ความมั่นใจเกินเหตุ ทำให้ผมพังไป 2 บัญชี เสียเงินหกหลัก ภรรยาก็โกรธมาก แต่ก็เป็นบทเรียนครับ ทุกวันนี้ผมปรับวิธีเทรดใหม่ เพื่อ “ต่อกรกับจุดอ่อนของตัวเอง”


แล้วคุณล่ะคริสเตียน คุณทำการปรับแก้จุดอ่อนของตัวเองยังไง?

—สำหรับผม เคล็ดลับคือ ผมจะขายบางส่วนเมื่อราคาวิ่งแรง ๆ (Trim into strength) ถ้าไม่ทำแบบนี้ ความผันผวนของกำไรมันจะใหญ่เกินไปจนกดดันผมหนัก การขายบางส่วนช่วยลดโอกาสที่จะเผลอตัดสินใจผิดเพราะเงินจำนวนมันใหญ่เกินไป


ก่อนเริ่มอัดรายการ ผมคุยกับไมเคิลเรื่องการเทรดตัวหนึ่ง (LUNR – Lunar)

วันที่ 7 พฤศจิกายน ผมเข้าไม้ที่ราคาประมาณ $850 …

—ดูจากกราฟแล้ว คุณน่าจะทำกำไรได้ราว ๆ 23% ไปจนถึงเกือบ 40% ถ้าคุณขายใกล้จุดสูงสุด

—ไม่ครับ ผมไม่ได้ขายใกล้ไฮเลย ผมดันขายตอน จุดต่ำสุดของวันนั้นพอดี

—โอเค งั้นก็ประมาณ 18–19% ใช่ไหม

—ใช่ครับ ประมาณนั้น


ปัญหาคือวันนั้นหุ้น LUNR มันแกว่งแรงมาก จากไฮไปโลว์วันเดียวถึง 35% และผมถืออยู่ประมาณ 50,000 หุ้น แปลว่ามันเป็นการแกว่งของกำไร/ขาดทุนประมาณ $250,000 ในวันเดียว เห็นกำไรล่องหนไปต่อหน้าต่อตา แถมสถานะอื่น ๆ ในพอร์ตก็แดงพร้อมกันอีก มันกดดันจนผมทนไม่ไหว ตัดสินใจขายออกตรงโลว์ ทั้งที่ตามกฎจริง ๆ ผมตั้ง Stop ไว้ว่า “ปิดต่ำกว่าเส้น 10 วัน” แต่วันนั้นมันแค่ “แตะ” เส้น 10 วัน ยังไม่ปิดต่ำกว่าเลย ผมด่วนสรุปว่ามันจะปิดต่ำกว่าแน่ ๆ เลยขายออกไป แต่กลายเป็นว่าพอวันถัดไปหุ้นดีดแรงกลับขึ้นมาแทน


ถ้าย้อนดู Backtest นะครับ สมมติใช้เส้น 50 วันเป็น Stop (เส้นสีเหลืองบนกราฟ) ผมจะยังถืออยู่ และสุดท้ายจะได้กำไร “เกือบสองเท่า” ของที่ขายออกไปเลย แต่ในความจริง การทนอยู่ในสถานะที่หุ้นเหวี่ยง 35–40% ต่อวัน มันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะเวลาเราใช้เลเวอเรจสูงทั้งพอร์ต มันไม่ใช่การนั่งมองตัวเลขใน Excel มันคือการต้อง “อยู่กับมัน” แบบมีชีวิตจริง ๆ


—แล้ววันนั้นคุณถืออยู่กี่ไม้ครับ?

—ประมาณ 8 ไม้ครับ ถือว่าเยอะเลย วันนั้นผมแทบจะ Full Leverage ทั้งพอร์ต ประมาณ 2 ต่อ 1

—โอเค เข้าใจเลย ถ้าผมเจอแท่งแดงยาว ๆ แบบนั้น ผมก็จะเครียดเหมือนกัน ตอนเช้าพอร์ตเขียว ๆ สุดท้ายจบวันเลือดสาดหมด “Pucker Factor” ต้องมาแน่ ๆ


—“Pucker Factor” คืออะไรครับ?

—โอเค อธิบายง่าย ๆ ผมเคยเป็นนักบินเจ็ตของกองทัพเรือสหรัฐ เวลาเจอสถานการณ์เสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุ มันจะมีความรู้สึกเกร็งสุด ๆ แบบนั้นแหละเรียกว่า Pucker Factor มันหมายถึง “ใกล้เกมโอเวอร์” นั่นเอง ผมเคยบิน 420 นอตที่ระดับความสูง 200 ฟุต ทำ Turn 6G กับฝูงบิน มันสุด ๆ ไปเลย


—โอ้โห แล้วคุณได้ดู Top Gun ภาคใหม่ไหมครับ?

—ดูครับ ฉากในค็อกพิทมันสมจริงสุด ๆ ผมว่าทำออกมาได้ดีมาก แทบจะดีพอ ๆ กับภาคแรกเลย


—จริงครับ ผมเองก็เคยเอาความรู้สึก “อยู่บนขอบเส้นตาย” แบบการบิน มาใช้กับการเทรด ซึ่งสุดท้ายมันทำให้ผมพังไปหลายบัญชี


โอเค เรามีอีกสองคำถามก่อนจะไปหัวข้อสุดท้าย:

คำถามแรก: คริสเตียน คุณทำสมาธิ เล่นโยคะ หรือออกกำลังกายเพื่อจัดการความกดดันพวกนี้บ้างไหม?

—ใช่ครับ ผมชอบเล่น เทนนิส มาก เล่นให้ได้บ่อยที่สุด


คำถามต่อมา: เรื่อง Stop Loss คุณใช้เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) ระยะยาวไหม เช่น 10 วัน 20 วัน 50 วัน หรือคุณใช้เปอร์เซ็นต์แบบตายตัว ว่าให้หุ้นถอยกี่ % ถึงจะตัดขาดทุน?


—จริง ๆ ส่วนใหญ่ผมใช้เส้น 10 วันครับ มันมักจะใกล้ราคาหุ้นอยู่แล้ว แต่ในบางกรณีที่หายากมาก ผมก็จะลองดูเส้นยาวกว่า เช่น 20 หรือ 50 วัน …


คริสเตียนเล่าต่อว่า:

“จริง ๆ ผมอยากให้ Alberto ถามคำถามนี้ตั้งแต่ 4 เดือนก่อน เพราะผมมีเคสสด ๆ ร้อน ๆ ที่ทำพลาดเลยครับ — หุ้น CRNC วันที่ 3 มกราคม มันมี episodic pivot ผมเข้าไปซื้อที่ราคา $10.80 แล้ววันถัดมา หุ้นพุ่งไปแตะ $27


ตอนนั้นผมขายออกครึ่งหนึ่งที่ประมาณ $23 แต่ก็ยังเก็บอีกครึ่งไว้เพราะเริ่ม โลภ คิดว่า ‘ว้าว นี่แหละการเบรกที่ทรงพลัง เดี๋ยวมันน่าจะไปได้อีกไกล’ แทนที่จะคิดว่า นี่คือ โอกาสทอง ที่ทั้งปีเจอได้ไม่กี่ครั้งด้วยซ้ำ สุดท้ายผมควรจะขายทิ้งเกือบหมดตั้งแต่ตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ


เหตุผลคือ ถ้าหุ้นมันดีดแรงจนราคาอยู่สูงกว่าเส้น 10 วัน ถึง 50–70% มันเป็นสถานการณ์ที่หายากมาก ๆ แบบนี้ควรขายออกไปเยอะ ๆ เลย อาจจะ 80–90% แทนที่จะขายแค่ครึ่งเดียว”


ผู้สัมภาษณ์เสริมว่า:

“แปลว่าคุณเข้าแถว ๆ $10.60–$10.80 แล้วขึ้นไปสูงสุดเกือบ 63% เหนือเส้น 8 วัน หรือราว ๆ 55% เหนือเส้น 10 วันเลยทีเดียว”


คริสเตียนตอบว่า:

“ใช่ครับ ตอนนั้นผมใช้เส้น 10 วันเป็น Trailing Stop พอราคาปิดต่ำกว่าเส้น 10 วัน ผมก็ขายที่เหลือออกหมด แต่ถ้าใช้เส้น 20 วัน ผมก็คงออกเร็วกว่านี้ แต่ถ้าใช้เส้น 50 วัน ผมจะยังถืออยู่จนถึงตอนนี้เลย ซึ่งฟังดู ‘บ้า’ ดี แต่การทนกับความผันผวนกำไรขนาดนั้น มันไม่ง่ายจริง ๆ”


จากนั้น Michael (อีกคนในวงสนทนา) ก็แทรกเข้ามาแชร์ เทคนิคเล็ก ๆ ของเขา:

“สิ่งที่ผมทำคือ แทนที่จะถือเต็มไม้ยาว ๆ ผมจะทยอยขายทำกำไรที่ +10% +20% ก่อน แล้วเหลือไว้สัก 20% ของจำนวนหุ้นเดิมเพื่อลุ้นต่อ ส่วนที่เหลือผมจะผูกกับเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่า เช่น เส้น 8–10 สัปดาห์ (เทียบได้กับเส้น 50 วัน) โดยผมจะสลับไปดูกราฟรายสัปดาห์แล้วตั้ง Trailing Stop ตรงนั้น มันช่วยให้ผมยังเก็บบางส่วนของกำไรไว้ได้ โดยไม่รู้สึกเสียดายมาก”


เขายังเสริมอีกว่า:

“ถ้าหุ้นดึงตัวกลับแล้วให้สัญญาณใหม่ เช่น CRNC ที่ดึงลงมาแล้ว Break ขึ้นอีกตรง $13 ผมก็จะเข้าใหม่เต็มไม้ ถือเป็นการ เติมพลังให้พอร์ต ด้วยจังหวะใหม่ แต่เงื่อนไขคือ ต้องมีระบบชัดเจนว่าจะขาย 80% แล้วถืออีก 20% โดยอิงเส้นระยะยาว ซึ่งวิธีนี้ช่วยผมได้เยอะครับ”


คริสเตียนยอมรับว่า:

“จริงครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องปรับปรุง การ ถือเพื่อกำไรยาว จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของผมได้แน่ ๆ”


จากนั้นบทสนทนาก็เข้าสู่หัวข้อ “Myth: การเพิ่มขนาดไม้หลังจากขาดทุนจะช่วยให้ได้เงินคืนเร็วขึ้น”


คริสเตียนอธิบายว่า:

“นี่แหละครับคือ กลยุทธ์ Martin Gale ที่มักใช้ในคาสิโน เช่น รูเล็ตหรือแบล็คแจ็ค เวลาแพ้ก็ทบเงินเพิ่ม 2 เท่าเพื่อเอาคืนทั้งต้นและกำไร ซึ่งสุดท้ายคุณจะแพ้ติดกันจนหมดตัวแน่นอน


แต่ในการเทรด เราควรทำตรงกันข้ามเลย ผมเรียกว่า Anti-Martingale Strategy คือ เวลาแพ้คุณต้องลดขนาดไม้ลง แต่เวลาได้คุณค่อยเพิ่มไม้ แบบนี้คุณจะมีพอร์ตใหญ่ที่สุดตอนที่คุณกำลังชนะ และเล็กที่สุดตอนที่คุณกำลังแพ้ — ซึ่งมันปลอดภัยและมีประสิทธิภาพกว่ามากครับ”


แล้วเขาก็ยกตัวอย่างจริง:

“ในเดือนมกราคม ผมมี 3 ไม้กำไร แต่มีถึง 25 ไม้ขาดทุน ผมเลยเริ่มลดขนาดไม้ลงเรื่อย ๆ เพื่อจำกัดความเสียหาย โชคดีที่หนึ่งในไม้ที่กำไรคือ CRNC ที่ทำกำไรได้ก้อนใหญ่ ทำให้รวมแล้วผมยังปิดเดือนเป็นบวกครับ”


คริสเตียนเล่าต่อว่า:

“ในเดือนมกราคม ถึงแม้ผมจะมีอัตราชนะ (win rate) แค่ 11% แต่ผมยังปิดเดือนเป็นบวกได้ เพราะผม ลดขนาดไม้ลงอย่างมาก หลังจากเริ่มแพ้ติดต่อกัน นี่คือตัวอย่างชัด ๆ เลยครับ ว่าถ้าตอนนั้นผมกลับกัน คือไป เพิ่ม ไซส์ไม้แทน ผมอาจจะขาดทุนหนักแน่ ๆ อย่างน้อย 10–15% ในเดือนนั้น ทั้ง ๆ ที่ผมมีหนึ่งในเทรดที่ดีที่สุดในชีวิตอยู่ในเดือนเดียวกัน แต่กลับจะยังติดลบ — ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้นเลยใช่ไหมครับ?


สิ่งที่ช่วยผมไว้จริง ๆ คือการ ลดขนาดการเบ็ต นี่แหละ ที่ทำให้ผมรอดและยังลอยตัวได้”


Michael เสริมว่า:

“ผมก็ทำเหมือนกันครับ เวลาชนะ ผมจะเพิ่มขนาดไม้ แต่พอเริ่มแพ้ ผมจะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าตลาดจะกลับมาเป็นมิตรอีกครั้ง … ผมอยากถามคุณคริสเตียนว่า ทำไมวิธี Anti-Martingale แบบนี้มันถึงได้ผลครับ?”


คริสเตียนตอบ:

“เรื่องนี้มันโยงไปถึง โป๊กเกอร์ เลยครับ ที่โป๊กเกอร์เราเรียกสภาวะแบบนี้ว่า Tilt ส่วนในโลกการเทรดก็เรียกว่า Revenge Trading หรือก็คือการเทรดที่ถูกอารมณ์พาไป พูดง่าย ๆ คือ เสียการทรงตัวทางอารมณ์ เพราะเจอการแพ้ติด ๆ กัน


ผมเองเคยเป็นนักโป๊กเกอร์มาก่อน เวลาคุณแพ้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมงติด ๆ คุณจะเริ่มไม่เล่นด้วย A-game อีกต่อไป แค่ B-game หรืออาจตกไปถึง C-game เลยด้วยซ้ำ ที่อันตรายคือเราพยายามนั่งโต๊ะต่อ 16–20 ชั่วโมงเพื่อจะถอนทุนคืน ซึ่งมันไม่ต่างจากเป็นแค่ “เงาของตัวเอง”


การเทรดก็เหมือนกันครับ ถ้าคุณเจอไม้เสียติด ๆ กัน 5–10 ครั้ง หรือเจอการขาดทุนก้อนใหญ่ จิตใจคุณจะเสียสมดุลแน่นอน โอกาสที่คุณจะอยู่ในสภาพจิตใจที่ดีที่สุดแทบไม่มีเลย ดังนั้นการ ลดขนาดไม้ หรือพักไปก่อนคือทางออกที่ปลอดภัยสุด ๆ”


Michael ถามต่อว่า:

“คุณเคยเจอไหม เวลาตลาดมันเป็นรอบ ๆ เช่น บางช่วงระบบทำกำไรได้ดีติดกันหลายไม้ แต่พอเริ่ม choppy ก็จะเสียติดกัน แล้วมันวนไปมาเป็นวัฏจักร?”


คริสเตียนยืนยันว่า:

“ใช่เลยครับ มันชัดมากถ้าคุณดูผลตอบแทนรายเดือนของผม แต่ก่อนมันเหวี่ยงแรงมาก เดือนหนึ่งบวก 40% เดือนต่อมาลบ 20% อีกเดือนบวก 30% เดือนถัดมาลบอีก 15% … เหวี่ยงโคตรแรง


แต่ปีที่แล้วผมแก้ได้โดยใช้การ ลดขนาดไม้ในช่วงแพ้ ผลคือกราฟผลตอบแทนมันนุ่มขึ้นเยอะเลย เช่น เดือนนี้ +27% เดือนหน้า -2% อีกเดือน +25% แล้ว -5% มันสมูทขึ้นเยอะมาก เทียบกับเมื่อก่อนที่เป็น +30%, -20%, +30%, -15% … นี่แหละครับคือ ตัวเปลี่ยนเกมจริง ๆ”


Michael ถามเจาะลึกว่า:

“แล้วคุณลดไซส์เร็วแค่ไหนครับ? คือแพ้กี่ไม้ติดกันคุณถึงเริ่มลด?”


คริสเตียนตอบแบบชัดเจน:

“เร็วมากครับ แพ้แค่ 3–4 ไม้ติดกัน ผมก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น — คือผมเล่นพลาดเองหรือว่าตลาดเริ่ม ไม่เข้าทาง กลยุทธ์แล้ว?


คุณต้องใช้ตลาดเป็น กลไก feedback ถ้าอยู่ดี ๆ คุณแพ้ติด ๆ กัน แสดงว่ามีบางอย่างผิดพลาด อาจจะเป็นเราที่เผลอเทรดแย่ หรืออาจเป็นตลาดที่กลายเป็นศัตรูกับระบบเราไปแล้วก็ได้”


Michael เสริมว่า:

“ผมเองก็ทำแบบเดียวกันครับ เวลาเจอไม้เสียติด ๆ กัน ผมจะ ถอยกลับมาประเมิน หรือบางทีพักไปทำ Backtest หรือ Paper Trade เพื่อดูว่าปัญหาเกิดจากระบบหรือจากตลาดจริง ๆ พอมั่นใจแล้วค่อยกลับเข้าไปใหม่”


แล้วบทสนทนาก็ไหลไปสู่คำถามใหม่ที่น่าสนใจ:

“คุณเคยศึกษาเรื่อง Micro Seasonality ไหม?”


Michael อธิบายแนวคิด Micro Seasonality เพิ่มว่า:

“ถ้าเราดูกราฟ seasonality ของ Nasdaq แบบ 20 ปีขึ้นไป เราจะเห็นว่า บางเดือนขึ้น บางเดือนลง มันมีแนวโน้มซ้ำ ๆ อยู่เรื่อย ๆ พอผมมาดูแบบ micro ผมก็จะเอาข้อมูลการเทรดของผมเองมาประกอบด้วย เช่น ดูว่าในอดีต เดือนกุมภาพันธ์ (February) ของผม มักจะเป็นเดือนที่ผลลัพธ์อ่อนแอกว่าปกติ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?


หลายครั้งมันไม่ใช่เพราะระบบเสีย แต่เพราะผมพยายามจะเทรดไปทางหนึ่ง ในขณะที่ตลาดบอกชัด ๆ ว่า “ไม่ใช่ทางนี้นะ เดือนนี้มันไม่ไปทางนี้””


คริสเตียนฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมบอกว่า:

“จริง ๆ ผมเคยคิดว่าเรื่องพวก seasonality นี่ไร้สาระมาก่อนนะ ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเดือนเมษายนหรือสิงหาคม แต่พอผมเทรดมานานขึ้น ผมกลับเริ่มเชื่อมากขึ้นว่ามันมีจริง เพราะมนุษย์เราก็เหมือนสัตว์ตามสัญชาตญาณ เหมือนนกอพยพที่ย้ายถิ่นตามฤดูกาล พอถึงบางเดือนเราก็มีพฤติกรรมแบบหนึ่ง ตลาดก็สะท้อนออกมาเหมือนกัน”


แต่คริสเตียนก็เสริมว่า:

“ปัญหาคือข้อมูลการเทรดเก่าของผม มันไม่ค่อยเชื่อถือได้ เพราะแต่ก่อนผมจัดการ position sizing แย่มาก ผลลัพธ์มันเหวี่ยงเกินไป เอามาวิเคราะห์ต่อไม่ได้ แต่จากนี้ไปถ้าผมสามารถเทรดได้อย่างสม่ำเสมอมากขึ้น ผมก็อยากเก็บข้อมูลจริง ๆ เพื่อดูว่าแนวโน้มพวกนี้มันมีผลกับระบบผมหรือไม่”


อีบุ๊ก เคล็ดลึก Position Size ปั้นพอร์ตเล็กให้เติบใหญ่ อย่างมั่นคง

มีจำหน่ายที่  https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM1OTI2OTt9


จากนั้นคำถามใหม่ก็ถูกโยนขึ้นมา:

“คุณคิดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าการเทรดจะเปลี่ยนไปอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อมีคริปโตมากขึ้น? และถ้าคุณเพิ่งเริ่มใหม่วันนี้ คุณจะโฟกัสอะไรเพื่อให้เก่งขึ้นเร็วกว่าเดิม?”


คริสเตียนตอบว่า:

“นี่เป็นคำถามที่ดีมากครับ ผมอยากเล่าแบบนี้…


ผมเคยเห็นสถิติที่น่าตกใจว่า 90% ของนักเก็งกำไรจะหายไปจากตลาดภายใน 5 ปี แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ถึงแม้ผู้เล่นจะเปลี่ยน แต่ แพทเทิร์นราคาในตลาดยังคงเดิม ตั้งแต่ยุค 1950, 1960, 1970 มาจนถึงวันนี้ เพราะอะไร? เพราะคนที่เทรดก็ยังเป็น “มนุษย์” และมนุษย์ก็ยังมีอารมณ์แบบเดิม — กลัว โลภ หวัง แค้น


เวลาผมคุยกับเทรดเดอร์หลาย ๆ คน สิ่งที่ผมพบคือ ความกลัว (fear) คือแรงผลักดันหลักของการตัดสินใจส่วนใหญ่ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้แพทเทิร์นราคายังคงอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปีก็ตาม”


Michael แซวขึ้นว่า:

“งั้นเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่อง AI หรือบอทเข้ามาแทนที่แล้วสิ?”


คริสเตียนหัวเราะแล้วตอบว่า:

“ผมไม่คิดว่าจะต้องกังวลครับ ผมเคยคุยกับเทรดเดอร์ที่ใช้ระบบกลไก (mechanical systems) หลายคน บางคนบอกว่าพวกเขาได้ผลตอบแทน 60% ต่อปี Drawdown 18% ฟังแล้วโหดมาก แต่พวกเขายังบอกเลยว่า อยากได้ผลลัพธ์แบบ discretionary traders มากกว่า


สุดท้ายบอทมันก็ยังไม่สามารถแทนที่ วิจารณญาณของมนุษย์ ได้ มันอาจทำงานได้ แต่จะให้สร้างกำไรที่ใหญ่ ๆ แบบที่มนุษย์กล้าตัดสินใจทำนั้นยังยากอยู่”


แล้ว Michael ก็ยกตัวอย่างหนังสือคลาสสิก

“ถ้าใครเคยอ่าน How to Trade Stocks ของ Bill O’Neil นะครับ ผมแนะนำให้ลองดูกราฟของหุ้น Tennessee Iron ตั้งแต่ปี 1889 แล้วจะเห็นเลยว่าพฤติกรรมของราคาหุ้นในตอนนั้น มันเหมือนกับที่เราเห็นทุกวันนี้เป๊ะ ๆ เพราะมนุษย์ที่ขับเคลื่อนราคายังมีอารมณ์แบบเดิม”


คำถามสุดท้ายที่ยังค้างอยู่ก็คือ:

“ถ้าคุณต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่วันนี้ คุณจะโฟกัสอะไรเป็นพิเศษเพื่อให้เก่งขึ้นเร็วกว่าเดิม?”


คริสเตียนตอบว่า:

“สิ่งเดียวที่ผมจะทำต่างออกไปก็คือ ผมจะใช้ Twitter (หรือ X ในตอนนี้) ให้มากกว่านี้ เพราะคอนเทนต์ที่นั่นมันมหาศาลจริง ๆ และฟรีแทบทั้งหมด


ผมจะเข้าไป ถาม พูดคุย มีส่วนร่วม กับเทรดเดอร์ที่เก่ง ๆ ให้มากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของคนจริง ๆ นั่นแหละ ที่ทำให้เราเติบโตเร็วขึ้นได้อย่างมหาศาล”


คริสเตียนพูดถึง Twitter/X อีกครั้งว่า:

“คนเก่ง ๆ ที่นั่นเขาอยากช่วยจริง ๆ นะ ถ้าคุณมีคำถามก็แค่ถามได้เลย ผมเองก็ได้รับคำถามตลอด และก็ตอบให้เสมอ เพราะผมเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน 7 ปี 6 ปี 5 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมยังล้มลุกคลุกคลาน ยังพยายามหาทางรอดอยู่ มันเป็นช่วงเวลาที่ยากจริง ๆ แต่สิ่งที่คนแชร์บน X ช่วยผมไว้มาก มันทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ได้อยู่คนเดียว”


คริสเตียนสะท้อนต่อว่า:

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่ผมอยากทำให้เร็วขึ้นคือการตามหาคนอย่าง Quale Maggi (Christian Kalamaqi) ผมโชคดีที่เจอเขาตั้งแต่ปี 2019-2020 แต่ก็ยังรู้สึกช้าไป ผมใช้เวลาเต็ม ๆ 7 ปี กว่าจะเริ่มจับทางได้ เส้นทางนี้มันโหดนะครับ ผมไม่ใช่ว่าขาดทุนตลอดหรอก แต่ผมเป็น เทรดเดอร์แบบ “บูมแล้วบัสต์” คือบางปีได้กำไรเยอะ แต่ปีต่อมาก็คืนกำไรหมด ต้องวนซ้ำหลายรอบ กว่าจะเรียนรู้ว่าต้องปรับยังไง


มันไม่มีทางลัดครับ คุณจะอ่านหนังสือกี่เล่ม ศึกษากราฟกี่พันกราฟ ก็สู้การ เจอประสบการณ์จริงกับอารมณ์ผันผวนของตัวเองไม่ได้”


จากนั้น Mike ถามขึ้นว่า:

“คุณคิดว่าควรเริ่มจาก Demo Trading (บัญชีทดลอง) ก่อนไหม? หรือควรใช้เงินจริง แต่พอร์ตเล็ก ๆ เพื่อสร้าง ‘กล้ามเนื้อทางอารมณ์’? แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าถึงเวลาขยับขนาดพอร์ต?”


คริสเตียนตอบตรงไปตรงมา:

“ผมคิดว่า Demo Trading เป็นการเสียเวลา คุณจะไม่มีวันเข้าใจ ‘เกมนี้จริง ๆ’ ถ้าไม่มีเงินจริงบนเส้น ถ้าคุณเล่นเหมือนโป๊กเกอร์แบบใช้ชิปปลอม มันไม่สะท้อนอะไรเลย เพราะไม่มีความกดดัน คุณจะเล่นมั่ว ๆ ยังไงก็ได้


แต่พอเป็นเงินจริง ต่อให้เป็นเงินจำนวนน้อย อารมณ์คุณก็จะเปลี่ยนทันที ผมยังจำได้ว่าตอนเล่นโป๊กเกอร์กับภรรยาในสมัยก่อน ตอนแรกเล่นด้วยชิปปลอม เธอเล่นขำ ๆ หัวเราะไปเรื่อย แต่พอเราเพิ่มเงินจริงเข้ามา แค่ $5 มือเธอสั่นทันที เพราะมันมี “ความหมาย” แล้ว


ดังนั้นผมแนะนำว่า เริ่มด้วยเงินจริงที่เล็กพอรับความเสี่ยงได้ แต่ก็ใหญ่พอที่จะทำให้คุณ ‘รู้สึก’ ถึงแรงกดดัน เพราะ สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่กดปุ่มซื้อขาย แต่คือการควบคุมอารมณ์ตัวเองเมื่อเงินจริงอยู่บนเส้น”


เมื่อรายการคุยยาวเกินชั่วโมง Michael เลยถามปิดท้าย:

“โอเค คริสเตียน ก่อนเราจะจบ มีคำถามอะไรที่คุณอยากถามผมหรือ Mike ไหม?”


คริสเตียนยิ้มแล้วตอบว่า:

“จริง ๆ มีนะครับ แต่ถ้าคุยกันหมดคงลากไปอีกชั่วโมงแน่ ๆ”


Dennis เลยบอกว่า:

“ไม่เป็นไรครับ ลองถามสั้น ๆ ได้”


คริสเตียนจึงถาม Dennis ว่า:

“คุณเทรดมานานแค่ไหนแล้ว?”


Dennis หัวเราะแล้วตอบว่า:

“ผมเริ่มตั้งแต่ปี 1991 ตอนนั้นยังต้องใช้โมเด็มต่ออินเทอร์เน็ต กว่าจะโหลดข้อมูลหุ้นแต่ละตัวใช้เวลาครึ่งชั่วโมงขึ้นไป ต้องเสียค่าบริการรายเดือนเพื่อโหลดกราฟเก็บไว้ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ผมตอนนั้นก็ยังเป็นเครื่อง 386 จอ CRT ใหญ่ ๆ หนัก ๆ ใช้ดิสก์แผ่นฟลอปปี้อยู่เลย”


เขาเล่าต่อพร้อมเสียงหัวเราะว่า:

“ผมยังจำได้เลยนะ ตอนที่กดต่ออินเทอร์เน็ต มันจะมีเสียงดัง ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง ก่อนจะเชื่อมติด — ทุกครั้งยังติดหูอยู่เลย”


Dennis ถูกถามว่า “ตอนคุณเริ่มแรก คุณทำเงินจากการเทรดได้เลยไหม?”


เขาหัวเราะแล้วตอบว่า:

“ไม่เลยครับ สิ่งที่ดึงดูดผมเข้าสู่การเทรดจริง ๆ มาจากสิ่งที่เรียกว่า Fabian Report ซึ่งเป็นรายงานที่พูดถึงการ swing trade ด้วยกองทุนรวม ตอนนั้นผมหลงรักไอเดียนี้มาก โดยเฉพาะพวกกราฟต่าง ๆ ยิ่งผมเป็นวิศวกร หลังเลิกจากการเป็นนักบินก็มาทำงานเป็นวิศวกรโยธา ความเป็นสายเทคนิคทำให้ผมถูกดูดเข้าไปเต็ม ๆ”


เขาเล่าต่อว่า:

“แต่จริง ๆ แล้วกว่าจะได้อ่านหนังสือของ Bill O’Neil ครั้งแรกก็ตอนปี 1995–1996 และหลังจากนั้นผมยังกลายเป็นผู้จัด IBD Meetup ที่ San Jose แคลิฟอร์เนีย ในกลุ่มชื่อว่า Bay Area Moneymakers อีกด้วย”


จากนั้นมีคำถามว่า:

“แสดงว่าคุณได้อยู่ในตลาดช่วง Internet Bull Market ใช่ไหม?”


Dennis พยักหน้า:

“ใช่ครับ มันบ้าจริง ๆ เหมือนทุกวันมีหุ้นที่พุ่งเหมือนกราฟของ CRNC ตอนนั้นผมยังคิดว่าตัวเองเป็นคนเก่ง การศึกษาเยอะ ผ่านเรื่องท้าทายอย่างการบินเรือบรรทุกเครื่องบินมาแล้ว แต่เชื่อไหมครับว่า การควบคุมอารมณ์ในการเทรดกลับยากกว่านั้นอีก


ผมยังติดนิสัยแบบวิศวกร คิดว่าต้องทำทุกระบบให้ดีกว่าเดิม ต้อง ‘สร้างระบบใหม่เอง’ จนสุดท้ายก็เจ๊งหลายครั้ง ผมเห็นเพื่อนวิศวกรหลายคนเป็นแบบนี้เหมือนกัน คิดว่าตัวเองจะประดิษฐ์ระบบที่เหนือกว่าใคร แต่สุดท้ายตลาดก็สอนบทเรียนหนัก ๆ กลับมา”


เขาย้ำว่า สิ่งที่ทำให้เขาเริ่มเข้าที่เข้าทางคือ “ทำให้มันง่ายเข้าไว้”

“ผมไปเลือกหยิบเครื่องมือจากหลายระบบมาใช้ แต่ตัดของที่ไม่จำเป็นออก เช่น เรื่องการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ผมไม่ชอบเลย ก็ใช้ข้อมูลของ IBD มาช่วยแทน จากนั้นก็พัฒนาระบบที่ทำให้คนทำงานประจำก็ใช้ได้ ไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน แค่วันเสาร์–อาทิตย์ก็มานั่งวางแผน แล้ววาง conditional orders ทิ้งไว้ เรียกว่า fire and forget ได้เลย”


เมื่อถูกถามถึง วิกฤตปี 2000–2002 (Dot-com Bubble) Dennis สะท้อนว่า:

“ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจ technical patterns ดีพอ สัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจบขาขึ้นก็มีนะ แต่ผมไม่รู้จักตีความ จนสุดท้ายพอร์ตพัง แต่ก็นั่นแหละ มันกลายเป็นบทเรียน พอเจอวิกฤต 2007–2008 ผมรู้แล้วว่า นี่แหละโอกาสใหญ่”


เขาทิ้งท้ายด้วยมุมมองที่น่าสนใจว่า:

“ทุกวันนี้ผมชอบทั้ง Bull Market และ Bear Market เลยนะ เพราะ Bear Market จะโผล่มาทุก ๆ 3–4 ปี ถ้าเราบริหารความกลัวได้ มันคือกุญแจสร้างความมั่งคั่งระยะยาวเลยครับ”


หลังจากนั้น Dennis เล่าเรื่องขำ ๆ ว่าเขากับ Mike ได้รู้จักกันเพราะต่างก็เป็นผู้จัด IBD Meetup คนหนึ่งอยู่ที่ซานโฮเซ อีกคนอยู่ที่นิวยอร์ก เจอกันทางออนไลน์ แล้วคุยกันถูกคอจนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมจัดพอดแคสต์ในทุกวันนี้


Dennis เล่าต่อว่า ที่ผ่านมาเขากับ Mike ไม่ได้แค่ไปออกรายการพอดแคสต์ของกันและกัน แต่ยังเคยเชิญ Mike มาช่วยบรรยายให้กับกลุ่ม Bay Area Moneymakers ด้วย เขาบอกว่า:

“ผมรู้สึกเหมือน Mike เป็นเหมือนลูกชายเลยนะ เพราะเขาอายุใกล้เคียงกับลูกชายผม และลูกสาวเขาก็อายุใกล้ ๆ กับหลานผม ผมชอบมากที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเขา และยังได้ช่วยแนะนำเขาเรื่องการใช้ ChatGPT ด้วย”


แล้วบทสนทนาก็หันไปที่เรื่อง กราฟหุ้นในอดีต

Christian ถามว่า:

“Dennis คุณมีกราฟหุ้นเด่น ๆ ตั้งแต่ยุค 90s โดยเฉพาะพวกหุ้น Tech Bubble ที่ตอนนี้หายไปจากตลาดแล้วไหม เช่น Toys.com หรือบริษัทที่ล้มละลายไป”


Dennis ส่ายหัว:

“เสียดายครับ ไม่มีแล้ว ตอนย้ายกลับฮาวายจากแคลิฟอร์เนีย ผมทิ้งเอกสารเก่า ๆ ไปเยอะเลย ทั้งสมุด IBD Chart Book และสไลด์เก่า ๆ แต่ถ้าอยากดูจริง ๆ ผมแนะนำให้ไปค้นกราฟของ Enron เลยครับ นั่นเป็นตัวอย่างคลาสสิกของการล่มสลาย หุ้นมันร่วงจากท้องฟ้าเหมือนขี้วัวหล่นจากที่สูง!”


เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาให้ดู Technical Analysis of Stock Trends โดย Edwards & Magee (ฉบับที่ 9) พร้อมบอกว่า:

“นี่แหละคือ คัมภีร์การวิเคราะห์กราฟ ของผม ผมใช้เล่มนี้ศึกษาอย่างจริงจังตอนเตรียมสอบ CMT ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ไปสอบ เพราะไม่อยากได้ตัวย่อเพิ่มหลังชื่ออีกแล้ว”


Christian ก็ตอบกลับว่า:

“โอ้ ทำให้ผมนึกถึงสมุดบันทึกเก่า ๆ ของผมเองเลยนะ ตอนปี 2012 ผมเคยพิมพ์กราฟของ Tractor Supply แล้วเขียนโน้ตแปะไว้ กลายเป็นเหมือนสมุด Journal การเทรดเล่มแรก ๆ ของผม”


จากนั้นคำถามก็หันไปที่ Mike

Christian บอกว่าเขาประทับใจมากกับเรื่องราวในหนังสือ ที่ Mike เอาชนะอดีตอันยากลำบากและความเชื่อเชิงลบได้ เขาจึงถามว่า:

“ทำไมคุณถึงทำได้ ทั้งที่คนส่วนใหญ่เปลี่ยนความเชื่อฝังใจแบบนั้นไม่ได้เลย?”


Mike ตอบอย่างตรงไปตรงมา:

“คำตอบสั้น ๆ คือ พระเจ้าและศรัทธา ครับ ผมได้เห็นพระคุณของพระเจ้าหลายครั้ง แม้แต่ตอนที่ไปสัมมนาของ Tony Robbins ‘Unleash the Power Within’ ผมก็รู้สึกได้เหมือนพระคริสต์ทำงานผ่านเขาเพื่อเข้ามาเปลี่ยนชีวิตผม


สิ่งที่ผมต้องก้าวข้ามให้ได้คือ ความเชื่อว่าผมไม่คู่ควรกับความรัก ซึ่งรากมันมาจากเรื่องในครอบครัว—แม่ผมเสียชีวิตด้วยมะเร็ง แต่ผมไม่รู้เลยจนสองปีหลังจากเธอจากไป และเธอยังสั่งเสียว่าไม่ต้องเชิญผมไปงานศพ เรื่องนี้ฝังลึกในใจผมมาก เหมือนบอกตัวเองตลอดว่าเราไม่คู่ควรที่จะถูกรัก”


Mike เล่าว่า กระบวนการของ Tony Robbins โดยเฉพาะ Dickens Process ช่วยเขาได้

“เราต้องเผชิญหน้ากับ ‘วัชพืชในจิตใจ’ ระบุออกมาให้ชัดว่ามันคืออะไร แล้วลองนึกภาพไปข้างหน้า 6 เดือน 1 ปี 5 ปี 10 ปี ถ้าเรายังเชื่อแบบนี้ ชีวิตเราจะเป็นยังไง มันทำให้เจ็บปวดจนถึงจุดที่เราต้องเลือกปล่อยมันไป และเมื่อเราปล่อยได้ ก็เหมือนสลิงยิงตัวเราออกไปสู่เส้นทางใหม่ แล้วเราก็แทนที่ความเชื่อนั้นด้วยเรื่องราวใหม่ที่ให้พลังกับเราแทน”


Dennis เสริมว่า

“สิ่งที่ทำให้เราสองคนผูกพันกันมากขึ้นก็คือ ศรัทธา เราต่างก็เป็นคนที่เชื่อมั่นในพระเจ้า และเราตั้งเป้าว่า พอดแคสต์นี้ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยเทรดเดอร์ แต่ยังอยากส่งต่อเรื่องราวแห่งความเชื่อไปถึงผู้คนให้ได้หลักแสนด้วย”


บทสนทนาจบลงด้วยคำอวยพรและเสียงหัวเราะ ทุกคนกล่าว “God bless” ก่อนปิดรายการ พร้อมฝากผู้ชมว่า ถ้าชอบก็อย่าลืมแชร์ต่อให้เทรดเดอร์คนอื่นที่อาจต้องการกำลังใจและความรู้

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

$BMNR ทำธุรกิจอะไร? จุดแข็ง/จุดอ่อน และตัวเร่ง

กราฟหุ้น GFPT ล่าสุด

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ทฤษฏีวัฏจักรตลาดหุ้น (Market Cycle)

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน

หลักการแบ่งขายกำไร Partial profit