แผนการออก (Exit Plan) ของคุณคืออะไร?
แผนการออก (Exit Plan) ของคุณคืออะไร?
แปลจาก https://x.com/wey_how12640/status/1957088187253424216
ถึงผมจะชอบความเรียบง่าย และเชื่อว่าหลายสิ่งสามารถทำให้เรียบง่ายได้ แต่ถ้ามีใครมาถามคำถามง่าย ๆ แบบนี้ ผมก็ไม่มีคำตอบง่าย ๆ ให้หรอก เพราะการขายหุ้นเป็น “ศิลปะ”
เทคนิค Exit พิชิตผลการเทรด... ในรูปแบบ ebook โดย เซียว จับอิดนึ้ง https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=322348
ผมอาจจะให้คำตอบมาตรฐานกับคุณได้ เช่น “ขายบางส่วนเมื่อราคาขึ้นแรง แล้วใช้วิธีหรือกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อตามต่อไป” (ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ใช่กลยุทธ์ที่แย่เลย) แต่ความจริงนั่นไม่ใช่ตัวผม ทำไมผมต้องหลอกคุณและหลอกตัวเองเพื่อแค่ให้ได้รับการยอมรับและการรับรองด้วยล่ะ?
สิ่งสำคัญกว่าการตามกฎหรือวิธีการตายตัว คือการเข้าใจว่า “ทำไม” คุณถึงทำแบบนั้น กฎเกณฑ์เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้คุณอยู่ในเส้นทางและควบคุมอารมณ์ แต่ถ้าคุณมีการควบคุมอารมณ์ที่ดีและเข้าใจตลาดลึกพอ คุณจะมองเห็นเหนือสิ่งเหล่านั้นไปได้
คำถามแรกที่ควรถามตัวเอง
คุณต้องถามก่อนว่า:
- ทำไมคุณถึงต้องขายหุ้น?
- ทำไมคุณถึงอยากจับจังหวะตลาด?
เช่น ถ้าคุณเชื่อว่า $NVDA จะมีมูลค่าตลาดถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ในไม่กี่ปีข้างหน้า หรือ $PLTR จะไปถึงอย่างน้อย $500 จากการขยายตัวของ TAM (Total Addressable Market) แล้วทำไมคุณต้องขายตอนนี้?
ลองหยุดคิดกับสถานการณ์ง่าย ๆ นี้ก่อนนะ
ใบ้ให้นิดนึง: ถึงผมจะอยากซื้อแล้วถือไปตลอด แต่ผมก็ยังมี “แผนการออก” อยู่ดี
เหตุผลที่ควรมีแผนการออก
1) ไม่ใช่ทุกหุ้นจะเป็นเหมือน $NVDA
2) $PLTR เองก็อาจล้มละลายวันใดวันหนึ่ง
3) หุ้นผู้นำไม่สามารถขึ้นได้ตลอดเวลา และบางครั้งมีโอกาสที่ดีกว่าเมื่อพวกมันพักตัว
ดังนั้น การมี Exit Plan คือการ ปกป้องเงินต้นและกำไรที่หามาอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้กำไรวิ่งไปได้มากที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร ไม่ว่าคุณจะใช้ Hard Stop (ตั้งจุดตัดขาดทุนชัดเจน) หรือ Discretionary Stop (ตัดสินใจตามดุลยพินิจ) ก็ต้องใช้หลักการนี้เหมือนกัน
แล้วผมทำยังไง?
กฎการ Exit โดยทั่วไปของผม
ผม จะไม่ขายหรือทยอยขาย แค่เพราะเห็นกำไรเยอะ หรือแค่เพราะเห็น PnL สีแดงในวันเดียว
ในฐานะนักลงทุนตามเทรนด์ ผมจะขายหรือทยอยขายก็ต่อเมื่อ:
1) ผมมั่นใจว่า “เทรนด์ได้เปลี่ยนทิศแล้ว”
ขึ้นอยู่กับหุ้นนั้น ๆ บางตัวผมจะใช้กรอบสั้น ๆ สำหรับหุ้นที่ไม่มั่นใจ หรือกรอบยาวกว่าสำหรับหุ้นที่ผมมองว่าเป็น “Thematic Leaders”
2) ปัจจัยพื้นฐานหรือมุมมองมหภาคเปลี่ยนไป
หรือวิธีคิดที่ใช้ลงทุนในตอนแรกไม่เป็นจริงแล้ว
3) ราคาหุ้นแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างจากที่ผมคาดไว้ ณ จุดสำคัญ
4) มีการใช้เงินที่ดีกว่า
- เช่น มีโอกาส RR (Risk/Reward) ที่ดีกว่าในหุ้นอื่น ๆ
(ตรงนี้ทำให้การขาย/ทยอยขายส่วนใหญ่ของผมเกิดขึ้น เพราะผมมักหาทางเพิ่ม RR สูงสุดเสมอ บางครั้งก็เหมือนเป็นการ “ขายตอนแข็งแรง” แบบกลาย ๆ แต่ไม่ได้ทำตามกฎตายตัว แค่ประเมิน RR ของหุ้นที่มีอยู่)
5) ตำแหน่งการลงทุนโตเร็วเกินไปจนผมไม่ชอบความผันผวนที่มันสร้างในพอร์ต
6) ผมต้องใช้เงินก้อนใหญ่ เช่น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
7) ผมต้องการปกป้อง “ทุนทางจิตใจ”
- บางครั้งผมอยากนอนหลับสบาย ไม่ต้องกังวลกับความผันผวน
(จริง ๆ ผมผ่านการเจ็บหนักจาก Drawdown และการล้างพอร์ตมาแล้วหลายครั้ง ทำให้ทนแรงกดดันได้มาก เหตุผลนี้เลยเกิดไม่บ่อยนัก แต่ถ้าเกิด แปลว่าตลาดมักอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ เช่น มีนาคม 2025 ที่ผมเลือกขายออกหมด 100% แล้วรีบเข้าซื้อกลับภายในไม่กี่วัน)
8) เมื่อผมเล่นด้วย Leverage (การใช้เงินกู้)
เลเวอเรจเป็นดาบสองคม ถ้าคุณยังไม่เจอความสม่ำเสมอในการเทรด ผมไม่แนะนำเลย
เพราะมันเพิ่มแรงกดดันมาก โดยเฉพาะเวลาตลาดผันผวน สำหรับผมแล้ว แค่ “มีกำไร” ก็คือชนะ
สรุป
1) 8 ข้อด้านบนอาจฟังดูเหมือนใช้ “ดุลยพินิจ” เยอะ ซึ่งผมเองก็สบายใจกับมัน แต่ถ้าเพิ่ม “กฎที่มีเหตุผล” ลงไปอีกนิด คุณก็จะได้ระบบที่เป็นวัตถุวิสัย
2) นักเทรดแต่ละคนแตกต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นกับการเลียนแบบวิธีการของคนอื่น
3) แต่สิ่งหนึ่งที่ ทุกคนต้องมี ก็คือ Exit Plan ที่เหมาะกับตัวเอง และสอดคล้องกับเป้าหมายของเรา
หวังว่าสิ่งที่ผมเขียนมานี้จะมีประโยชน์นะครับ