คุณต้องลงสนามเทรดจริง ถึงจะเข้าใจการเทรดอย่างแท้จริงได้

"มีเพียงเกม (การเทรด) เท่านั้น ที่จะสอนให้คุณเข้าใจเกม (การเทรด) ได้"— Jesse Livermore ไม่มีหนังสือ บทความ หรือคำแนะนำใด ๆ ที่จะสอนคุณให้เป็นเทรดเดอร์ที่แท้จริงได้ นอกจากการลงสนามเทรดจริง คุณจะเรียนรู้ผ่าน ประสบการณ์ตรง ทั้งจาก ความสำเร็จและความผิดพลาด ๑) เรียนรู้จากตลาด – กราฟ ราคาวิ่ง แรงซื้อแรงขาย จะเป็นครูที่ดีที่สุด ๒) ทดสอบกลยุทธ์จริง – ทฤษฎีดีแค่ไหนก็ไร้ค่า ถ้าคุณไม่ลองใช้จริง ๓)ฝึกควบคุมอารมณ์ – เทรดจริงเท่านั้นที่จะสอนให้คุณรับมือกับความโลภและความกลัว สรุป: คุณต้องลงมือเทรดเอง ฝึกฝน ปรับปรุง และเรียนรู้จากทุกการซื้อขาย นั่นคือวิธีเดียวที่จะเข้าใจ "เกมการเทรด" อย่างแท้จริง

Marios Stamatoudis สวิงเทรดปั้นพอร์ตโต 291.2% ในปีเดียว เขาทำได้อย่างไร?


Marios Stamatoudis ได้รับอันดับที่ 4 ในการแข่งขัน US Investing Championship 2023 ด้วยผลตอบแทน 291.2%

แปลจาก https://retailtradersrepository.substack.com/p/marios-stamatoudis-the-traderlion


(สนับสนุนโดย)


eBook : คิดและสวิงเทรดเป็นระบบแบบพี่แดน (Dan Zanger)
มีจำหน่ายที่แอพ Meb ที่เดียว

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjM0NDM3MTt9


กระบวนการเรียนรู้การเทรด (Process of Learning to Trade)

ศึกษาจากนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในอดีต  

เริ่มต้นด้วยการดูและพยายามวิเคราะห์กลยุทธ์ของนักเทรดชื่อดัง พบว่ามีกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันในหลายกรณี เช่น  

- การ Short หุ้นที่ขึ้นไป 100-200% ภายใน 3-4 วันติดกัน: นักเทรดจะรอจังหวะวันที่หุ้นเริ่มอ่อนแรงแล้วเข้า Short  

- การ Long หุ้นที่มี Catalyst: เช่น หุ้นที่มีข่าวดีและราคากระโดดขึ้นจากกรอบเดิม  


ปรับตัวจาก Day Trading สู่ Swing Trading

เมื่อเริ่ม Day Trade และประสบความสำเร็จบางส่วน เขาพบว่าการจัดการความเสี่ยงและการเทรดของเขาทำให้เกิดการแกว่งของกำไรขาดทุน (PnL) อย่างรุนแรง แม้ PnL Curve จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจทำให้เขาหันมาสนใจ Swing Trading  

- เขาใช้ความรู้จาก Day Trading รวมกับกลยุทธ์ของ Mark Minervini และ William O’Neil  

- ได้แรงบันดาลใจจาก Kristjan Kullamägi ที่ช่วยให้เขา "เชื่อมโยงจุดต่าง ๆ" ในการเรียนรู้การเทรด  


การมี Passion ในการเทรด (Having a Passion for Trading)

ความหลงใหลที่แท้จริงช่วยให้คุณก้าวหน้า  

การศึกษาตลาดและหุ้นที่เทรดช่วยเพิ่มความเข้าใจและความหลงใหลได้มากขึ้น  

- เขาปฏิบัติกับการเทรดเหมือนกีฬา ที่ต้องมีการศึกษาและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ  

- ทดสอบความหลงใหล: "ถ้าคุณทำเงินได้ 20 ล้านดอลลาร์จากการเทรด คุณจะเลิกหรือไม่?" ถ้าคำตอบคือเลิก อาจเป็นเรื่องยากที่จะฝ่าฟันอุปสรรคในเส้นทางนี้  



รูปแบบการเทรดที่ใช้ (Setups He Uses)

1. Breakout Setups (การทะลุแนวต้าน)  

   - หุ้นเริ่มต้นด้วยแรงโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง จากนั้นราคาค่อย ๆ รวมตัว (Consolidate) และทะลุแนวต้าน  

   - เหตุผลที่ได้ผล: รูปแบบการ Breakout นี้ปรากฏมานานหลายทศวรรษและในตลาดหลากหลายประเภท สอดคล้องกับกฎของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อราคาสะสมอยู่ในกรอบ (Consolidation) สภาพคล่องจะลดลง ส่งผลให้เกิดการทะลุ  


2. Episodic Pivots (จุดเปลี่ยนเชิงเหตุการณ์)  

   - หุ้นที่มี Catalyst ส่งผลให้ราคากระโดดและต่อเนื่องไปด้วยโมเมนตัม  

   - เหตุผลที่ได้ผล: Catalyst เป็นเชื้อเพลิงที่กระตุ้นให้ราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว  


3. Parabolic Short (Short หลังราคาพุ่งขึ้นแบบพาราโบลา)  

   - เป็นกลยุทธ์แรกที่เริ่มใช้ โดย Short หุ้นหลังจากราคาพุ่งขึ้นแบบพาราโบลา  

   - ข้อควรระวัง: เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ยากที่สุด เขาเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดกับอารมณ์ในการเทรดแบบนี้ เพราะอาจทำให้พอร์ตเสียหายอย่างหนัก  


สรุป  

- การเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ และปรับให้เหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ  

- การเทรดต้องมี Passion เพราะจะช่วยให้ก้าวข้ามความยากลำบาก  

- การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว


(สนับสนุนโดย)

สนับสนุนโดย อีบุ๊ค "เคล็ดลึก สวิงเทรด ให้ได้กำไรสม่ำเสมอ"  https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTk5MjQzNSI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMzNjYyMjt9


กิจวัตรประจำวัน (Daily Routine)

Breakout Setup Daily Routine

1. ช่วง Pre-market (ก่อนตลาดเปิด) 

   - ตรวจสอบและบริหารจัดการตำแหน่งการลงทุนที่เปิดอยู่ (ถ้ามี)  

   - เช็คข่าวสารและพาดหัวข่าวทั่วโลก  


2. 1-1.5 ชั่วโมงก่อนตลาดเปิด  

   - ใช้ Screener Chart Layout ค้นหาและระบุหุ้นที่มีแรงส่ง (Momentum Leaders)  

   - ตรวจสอบหุ้นหลายร้อยตัวเพื่อค้นหาหุ้นที่มีสัญญาณดังนี้:  

     - Relative Strength: มีค่าเบต้า (β) บวกเมื่อตลาดเป็นขาขึ้น และเบต้า (β) ลบเมื่อเป็นขาลง  

     - การรวมตัวของราคา: มีการ Consolidation (ราคาตึงตัว)  

     - เคารพค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)  


3. การจัดการ Watchlist  

   - หุ้นที่น่าสนใจจะถูกเพิ่มลงใน "Bulk List" ซึ่งเขาจะตรวจสอบทุกวัน  

   - แม้บางวันจะไม่ได้เทรดเลย แต่เขายังคงติดตามสภาวะตลาดและหุ้นที่มี Momentum Leader อย่างสม่ำเสมอ  


4. การคัดเลือกจาก Bulk List 

   - ตรวจสอบว่าหุ้นใน Bulk List มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์หรือไม่  

   - หากหุ้นใดผ่านเกณฑ์ จะถูกย้ายไปยัง "Intraday" Watchlist  

   - วาดเส้นแนวโน้ม (Trendlines) เพื่อประมาณช่วง Consolidation ของหุ้น  

   - ตั้งการแจ้งเตือน (Alert) ใกล้จุดที่คาดว่าจะมี Breakout  


ตัวอย่างการวิเคราะห์

เขาใช้กระบวนการนี้ในการวิเคราะห์หุ้น เช่น SMCI ซึ่งมีการวาดเส้นแนวโน้มและคาดการณ์จุด Breakout ที่อาจเกิดขึ้น  




สรุปกิจวัตร Breakout Setup

- การจัดระบบอย่างมีระเบียบช่วยให้เขาติดตาม Momentum Leader ได้ทุกวัน  

- แม้จะไม่ได้เทรดในแต่ละวัน เขายังคงติดตามตลาดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต  

- การใช้เครื่องมืออย่าง Screener, Watchlist และ Alerts ช่วยให้สามารถระบุหุ้นที่มีศักยภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ  


ระบบเทรดและการเทรดตามระบบ เบื้องต้นสำหรับมือใหม่... ในรูปแบบ ebook โดย เซียว จับอิดนึ้ง https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=334986


กิจวัตรประจำวัน: Episodic Pivot Daily Routine

1. ค้นหาหุ้นที่น่าสนใจในช่วง Pre-market  

   - ใช้เว็บไซต์ที่สามารถสแกนหุ้นที่ราคาเปิดกระโดด (Gap Up) มากกว่า 5% และมีปริมาณการซื้อขาย (Relative Volume) สูงในวันนั้น  

   - ตรวจสอบเหตุผลที่ราคากระโดด เช่น:  

     - ผลประกอบการที่ดีกว่าคาด  

     - คำแนะนำการคาดการณ์รายได้ที่ดีขึ้น  

     - การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ  

     - ข่าวเกี่ยวกับยาใหม่หรือการอนุมัติในอุตสาหกรรมชีวเภสัช  


กิจวัตรประจำสัปดาห์: “Clean the weeds and keep the flowers” (กำจัดวัชพืชและเก็บดอกไม้)


1. ลบหุ้นที่ไม่มีศักยภาพออก  

   - หุ้นที่หลุดแนวรับหรือไม่เคารพค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะถูกลบออกจากรายการ  


2. ศึกษาหุ้นใน Watchlist อย่างลึกซึ้ง  

   - วิเคราะห์ลักษณะของหุ้นใน Watchlist โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น:  

     - ประเภทอุตสาหกรรม  

     - ธีมหลักที่หุ้นเหล่านั้นอยู่ (Sector Theme)  

   - เขาเน้นเรื่อง "ธีมกว้าง" ที่สามารถใช้แบ่งกลุ่มหุ้นได้ เช่นใน Mini Masterclass ของ Jason Leavitt บน YouTube  


3. ติดตามหุ้นที่เคยอยู่ใน Watchlist

   - ย้อนกลับไปดูว่าหุ้นใน Watchlist ก่อนหน้านี้มีการหลุดแนวรับหรือทำตามเทรนด์ที่วางไว้หรือไม่  

   - การติดตามนี้ช่วยให้เขาเข้าใจความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment) และตรวจสอบว่าสภาวะตลาดเหมาะสมกับการใช้ Breakout Setup หรือไม่  

     - หมายเหตุ: Breakout Setup มักจะได้ผลในตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น  






กิจวัตรประจำเดือน: “Stocks to Study” Watchlist

- ทุกเดือนเขาจะบันทึกหุ้นที่น่าสนใจลงใน Watchlist ชื่อ “Stocks to Study - [เดือน]”  

- Watchlist นี้ใช้เพื่อย้อนกลับมาทบทวนและศึกษาหุ้นในอดีต เพื่อเรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น  


---


สรุป  

- การสแกนหุ้นในช่วง Pre-market เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ  

- การจัดการ Watchlist และการทำความเข้าใจธีมของตลาดช่วยให้เขาคัดกรองหุ้นที่มีศักยภาพสูง  

- การศึกษาและติดตามหุ้นย้อนหลังช่วยพัฒนากลยุทธ์และการตัดสินใจในอนาคต


สถิติการเทรดในปี 2023 (2023 Stats)

1. มุมมองต่อการวิเคราะห์สถิติ  

   - Marios ไม่เน้นวิเคราะห์สถิติของตัวเองลึกมากนัก เพราะสภาวะตลาด, การจัดการความเสี่ยง, การปิดบางส่วนของกำไร (Partials) และปัจจัยอื่น ๆ มีความหลากหลายสูง  

   - สถิติเพียงแค่สะท้อนภาพรวม ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของการเทรด  


---


2. สถิติสำคัญในปี 2023

   - อัตราชนะ (Win Rate): ประมาณ 32%  

   - Risk-to-Reward Ratio: เฉลี่ย 1:5 (บางกรณีอาจสูงถึง 1:10 ถึง 1:30 และในกรณีพิเศษอาจสูงถึง 1:50 ถึง 1:70)  

   - จำนวนเทรดที่สร้างกำไรส่วนใหญ่: 10-15 เทรดที่สร้างกำไรหลักของทั้งปี  

     - พลังของผลตอบแทนแบบอสมมาตร (Asymmetric Returns): แม้จะชนะน้อย แต่กำไรต่อการเทรดมีมูลค่าสูง  


---


3. การจัดการตำแหน่ง (Position Management)  

   - ขนาดตำแหน่งเฉลี่ย: 13%-16% ของพอร์ต และอาจสูงถึง 30%  

   - จำนวนตำแหน่งที่ถือพร้อมกัน:  

     - โดยเฉลี่ย 6-7 ตำแหน่ง  

     - สูงสุดประมาณ **15 ตำแหน่ง  

   - เหตุผลของการจำกัดจำนวนตำแหน่ง:  

     - ยิ่งมีตำแหน่งมาก ยิ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากอารมณ์  

     - จำกัดจำนวนตำแหน่งเพื่อรักษาความมั่นคงทางจิตใจ  


---


4. พฤติกรรมการเทรด  

   - จำนวนเทรดเฉลี่ยต่อวัน: ประมาณ 2 เทรด  

   - จำนวนเทรดทั้งหมดในปี 2023: ประมาณ 500 เทรด  

   - ความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง (Risk per Trade):  

     - อยู่ระหว่าง 0.25%-0.4% ของเงินทุนทั้งหมด  

     - ระบบนี้ออกแบบมาให้รับมือกับ "ความเจ็บปวด" ได้สูงสุด  


eBook "Risk Management: การบริหารจัดการความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับนักเทรด"

มีจำหน่ายที่แอพ Meb เท่านั้น https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=332340


5. ปรับตัวเพื่อการเทรดแบบ Swing Trading  

   - เมื่อเทรดแบบ Day Trading: เคยใช้ความเสี่ยงต่อการเทรดถึง 1% หรือมากกว่า  

   - หากใช้ความเสี่ยงระดับนั้นใน Swing Trading ที่มีจุด Stop Loss แคบ จะทำให้ต้องถือเงินทุนถึง 50%-60% ในตำแหน่งเดียว ซึ่งมากเกินไป  

   - การใช้ความเสี่ยงที่อนุรักษ์นิยม (Conservative) ช่วยลดความเสี่ยงและการขาดทุน  




6. เหตุผลที่ใช้ความเสี่ยงต่ำต่อการเทรด (0.25%-0.4%)  

   - เหตุผลทางคณิตศาสตร์:  

     - ด้วยอัตราชนะ 30% มีโอกาส 70% ที่จะขาดทุนต่อเนื่อง 10 ครั้ง ในการสุ่ม 50 เทรด  

     - หากเสี่ยง 1% ต่อเทรด จะส่งผลให้การขาดทุนต่อเนื่องสร้าง Drawdown ที่สูงเกินความสบายใจ  

   - ปัจจัยทางจิตใจ:  

     - การขาดทุนใหญ่จะส่งผลต่อจิตใจ เช่น ความเหนื่อยล้า, การนอนหลับไม่เพียงพอ, และความคิดทำลายตัวเอง  


---


สรุปบทเรียนจากสถิติของ Marios  

- การเทรดไม่ได้เกี่ยวกับการชนะบ่อยครั้ง แต่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สมดุล  

- ระบบการเทรดที่ดีควรออกแบบให้รับมือกับความผิดพลาดและความเจ็บปวดทางจิตใจได้  

- การจัดการพอร์ตและตำแหน่งอย่างอนุรักษ์นิยมช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว  



กลยุทธ์การเข้าเทรด (Entry Tactics: Breakouts and Episodic Pivots)

1. การเข้าเทรดในช่วงเริ่มต้นตลาด (Opening Range High - ORH)  

   - ปกติจะเข้าเทรดที่ จุดสูงสุดของช่วง 1 นาทีหรือ 5 นาทีแรก ของตลาด (1-minute หรือ 5-minute ORH)  


2. การจัดการ Stop Loss และการกลับเข้าเทรดอีกครั้ง  

   - หากเข้าเทรดที่ ORH และถูก Stop Out ที่ จุดต่ำสุดของวัน (Low of the Day - LOD)  

     - จะกลับมาเข้าเทรดใหม่ถ้าหุ้นกลับไปเหนือระดับ VWAP และราคามีการ Consolidation อยู่ที่ VWAP  

     - การตั้ง Stop Loss:  

       - วางที่ LOD หรือ  

       - ใช้ 2 จุด Stop Loss คือที่ LOD และจุดต่ำสุดของรูปแบบ Consolidation บน VWAP  


3. การหยุดเทรดในวันนั้น  

   - หากล้มเหลวมากกว่า 2-3 ครั้ง ในวันเดียว จะหยุดเทรดหุ้นตัวนั้นในวันนั้น  


4. หลีกเลี่ยงการเทรดที่มีระยะ Stop Loss มากเกินไป  

   - หากระยะ Stop Loss เกินกว่า 1 ATR (Average True Range) การเทรดนั้นอาจไม่คุ้มค่า เนื่องจาก Risk-to-Reward (RR) จะไม่สมดุล  


5. หลีกเลี่ยงการถือสถานะขาดทุนข้ามคืน  

   - ในวันเข้าเทรด เขาจะไม่ถือสถานะที่ติดลบข้ามคืน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจาก การ Gap Down หรือข่าวที่ไม่คาดคิด  


6. การซื้อเพิ่มหรือกลับเข้าเทรดเมื่อราคาทดสอบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)  

   - หากหุ้น Breakout และวิ่งเข้าหา ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 หรือ 20 วัน  

     - จะซื้อหุ้นเพิ่ม หรือ  

     - หากถูก Stop Out ในวันแรก จะพยายามกลับเข้าเทรดใหม่  


---


ตัวอย่างการนำกลยุทธ์มาใช้

- การซื้อเพิ่มหรือกลับเข้าเทรดอีกครั้งเมื่อราคามีการทดสอบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แสดงให้เห็นถึง ความยืดหยุ่น และการใช้ Moving Averages เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ  




สรุป

- การเข้าเทรดในช่วงเริ่มต้นตลาด (ORH) เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ  

- การจัดการ Stop Loss และการเข้าใหม่อย่างมีแผนช่วยลดความเสี่ยง  

- การหลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืนและการจัดการ RR เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพ  

- การซื้อเพิ่มเมื่อราคาทดสอบ Moving Averages แสดงถึงการติดตามแนวโน้มของตลาดอย่างใกล้ชิด


สำหรับหุ้นในกลุ่ม Biotech:

1. พฤติกรรมของหุ้น Biotech ในวันที่มี Catalyst  

   - หลายบริษัทในกลุ่ม Biotech มีแนวโน้มที่จะปิดราคาลดลง (Close Red) แม้ในวันที่มีข่าวดีหรือ Catalyst  


2. กลยุทธ์สำหรับหุ้น Biotech 

   - เขาเลือกที่จะ ซื้อหุ้นในวันที่สองหลังจากมี Catalyst แทนที่จะซื้อในวันแรก  

   - ตัวอย่าง: หุ้นที่ปิดลบในวันแรก แต่ในวันที่สองมีการฟื้นตัวหรือสร้างแนวโน้มที่ชัดเจน  

การรอซื้อในวันที่สองหลังจากมี Catalyst สำหรับหุ้นในกลุ่ม Biotech ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนในวันแรก และเพิ่มโอกาสในการติดตามแนวโน้มราคาที่มีเสถียรภาพมากขึ้น


กลยุทธ์การออกจากการเทรด (Exit Strategy)

1. การขายบางส่วน (Partials)  

   - จะขายหุ้นบางส่วน (ประมาณ 1/4 ถึง 1/3 ของตำแหน่ง) เมื่อราคาขยับขึ้นถึง 2.5 - 3 เท่าของค่าเฉลี่ยช่วงการเคลื่อนไหวรายวัน (ADR Multiples)  


2. การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน (100-day Moving Average)  

   - ในบางกรณี จะใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วันเป็นเกณฑ์ในการขายหุ้นบางส่วนครั้งแรก  


- การขายบางส่วนช่วยล็อกกำไรในขณะที่ยังคงถือสถานะเพื่อรับโอกาสการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม  

- การใช้ 100-day Moving Average เป็นเกณฑ์ขายช่วยสร้างระบบที่อิงตามข้อมูลเชิงเทคนิคเพื่อการตัดสินใจที่มีเหตุผลและมั่นคง  


กลยุทธ์หลังการขายบางส่วน (After Partial Sell)

1. การตั้ง Stop Loss (SL) สำหรับตำแหน่งที่เหลือ  

   - ครึ่งหนึ่งของหุ้นที่เหลือ: วาง Stop Loss ไว้ที่จุดคุ้มทุน (Break-even)  

   - อีกครึ่งหนึ่ง: วาง Stop Loss ไว้ที่จุด SL เดิม (ซึ่งปกติคือ จุดต่ำสุดของวัน - LOD)  


2. การใช้ Trailing Stop Loss ตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่  

   - ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เช่น 10 หรือ 20 วัน เป็นเกณฑ์สำหรับการเลื่อน Stop Loss ตามแนวโน้ม  

   - ปิดสถานะทั้งหมดเมื่อราคาหุ้นปิดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในวันนั้น  


---


การใช้ Margin (Use of Margin)


1. แนวคิดเกี่ยวกับ Margin  

   - การใช้ Margin เป็นสิ่งที่ควรได้รับการ "สร้างสมดุล" และไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป  

   - กฎของเขาไม่อนุญาตให้ใช้ Margin อย่างหนักหน่วงหรือเกินตัว  


2. กระบวนการก่อนใช้ Margin  

   - ตรวจสอบตำแหน่งปัจจุบัน:  

     - ปิดตำแหน่งที่อ่อนแอกว่าหรือไม่ให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง  

   - ตรวจสอบจุด Stop Loss ของตำแหน่งที่ถืออยู่:  

     - ตรวจสอบว่า Stop Loss ในตำแหน่งปัจจุบันอยู่ที่จุดคุ้มทุนหรือสูงกว่า (Break-even หรือสูงกว่า)  

     - สิ่งนี้ช่วยให้มั่นใจว่าหากราคาหุ้นปรับตัวลดลง จะไม่ทำให้เกิดการขาดทุนในตำแหน่งปัจจุบัน ก่อนจะตัดสินใจใช้ Margin  


---


สรุป  

- การตั้ง SL แบบแบ่งส่วนช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการตำแหน่งที่เหลือ  

- การใช้ Trailing Stop Loss ตาม Moving Averages ช่วยติดตามแนวโน้มและเพิ่มโอกาสปิดกำไรสูงสุด  

- การใช้ Margin ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยตรวจสอบตำแหน่งและความเสี่ยงปัจจุบันก่อนเสมอ  


บทเรียนจากปี 2023 (2023 Takeaways)


1. คุณไม่สามารถจับทุกการเทรดได้  

   - อย่าคาดหวังว่าจะได้กำไรจากทุกโอกาสการเทรด  


2. สร้างผลตอบแทนแบบอสมมาตร (Asymmetric Returns)  

   - ตั้งเป้าผลตอบแทนที่สูงด้วยความเสี่ยงต่อการเทรดที่ต่ำ  

   - การลดความเสี่ยงช่วยลดความผันผวนทางอารมณ์  


---


ข้อคิดปิดท้าย (Ending Remarks)

1. เรียนรู้จากนักเทรดมืออาชีพ  

   - ค้นหานักเทรดที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ (อย่าหลงเชื่อคนแรกที่ปรากฏในฟีดโซเชียลมีเดียของคุณ)  

   - ความสำเร็จในโลกของการเทรดต้องการ วินัย และ ความหลงใหล  

   - การศึกษารูปแบบการเทรดในอดีตและการเรียนรู้จากนักเทรดที่หลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ  


2. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นบวก  

   - การอยู่ท่ามกลางผู้คนที่คิดบวกช่วยให้คุณมีแรงใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก  

   - หากคุณสัมผัสกับความคิดลบมากเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อคุณเหมือน **รังสีที่มองไม่เห็น**  

   - การเทรดเป็นธุรกิจที่ยาก คุณจะรู้สึกหลงทางหรือหมดหนทางในบางครั้ง แต่ความคิดบวกจะช่วยให้คุณก้าวผ่านไปได้  


3. อย่าเร่งสร้างความเชี่ยวชาญ  

   - การเป็นนักเทรดที่เก่งต้องใช้เวลา อย่าฝืนเร่งกระบวนการ  

   - รักษาทั้งทุนทางการเงินและจิตใจ เพราะหากคุณหลงทาง อาจทำให้คุณล้มเลิกไปได้  


4. อย่าลืมใช้ชีวิต 

   - “ถ้าคุณเร่งวิ่ง อาจมองไม่เห็นป่าทั้งผืนเพราะมัวแต่โฟกัสที่ต้นไม้ทีละต้น”**  

   - การพักผ่อนและการใช้ชีวิตช่วยให้คุณสามารถเทรดในระยะยาวได้อย่างมีสมดุล  



สรุป 

- การเทรดคือการเดินทางที่ต้องใช้เวลา ความอดทน และการเตรียมตัวที่รอบคอบ  

- ใช้โอกาสเรียนรู้จากนักเทรดที่มีประสบการณ์ แต่ให้พัฒนาในแบบของคุณเอง  

- การรักษาความสมดุลระหว่างการเทรดและการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณยืนระยะได้ในโลกของการเทรด  



(โฆษณา)

ถ้าท่านชื่นชอบเนื้อหาแบบนี้ แล้วอยากให้มีบ่อย ๆ สนับสนุนผลงานของผมหน่อยนะครับ

eBook มีจำหน่ายที่แอพ Meb

https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%20%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87&auto_search_id=&exact_keyword=1&page_no=1

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

Trader's Journey ของ Christian Flanders: จากนักโป๊กเกอร์สู่นักเทรดที่ปั้นพอร์ตโต +433% ในปี 2024

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่