เคล็ดลึก หาหุ้นนำตลาดตัวใหม่ (ในตลาดหุ้นอเมริกา)

Image
หัวใจสำคัญของบทความบทความนี้อธิบายวิธีการหาหุ้น “ผู้นำตัวใหม่” ในตลาด โดยใช้ Relative Strength (RS) At New Highs ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 หากเส้น RS ทำจุดสูงสุดใหม่ แสดงถึงการมีพลังของหุ้นนั้น ๆ และเป็นสัญญาณบวกว่ามีโอกาสกลายเป็นหุ้นนำตลาด --- ตัวอย่างจาก Astera Labs (ALAB) หุ้น ALAB พุ่งขึ้น 117% ภายใน 5 สัปดาห์ (ก.ค. – ส.ค. 2025) หลังจากนั้นพักฐาน (sideways) ประมาณ 19% วันที่ 8 ก.ย. 2025 หุ้นเบรกเอาท์ขึ้นจากฐาน “High Tight Flag” พร้อมปริมาณซื้อขายมาก ซึ่งบ่งชี้ถึง การเข้าซื้อของสถาบันใหญ่ --- รูปแบบกราฟที่สำคัญ: High Tight Flag เกิดขึ้นเมื่อหุ้นพุ่งขึ้น 100%–120% ภายใน 4–8 สัปดาห์ จากนั้นพักตัวลง 10%–25% ใน 3–5 สัปดาห์ จุดซื้อที่เหมาะสมคือการเบรกเอาท์ขึ้นไปจากฐานเดิม --- หุ้นอื่นที่น่าจับตา (RS New Highs) Alphabet (GOOGL) → ราคาพุ่งหลังข่าวดีจากคดีการผูกขาด AppLovin (APP) → บรรลุเป้ากำไร 20%–25% จากรูปแบบ Cup-base Robinhood (HOOD) → ทำจุดสูงสุดใหม่ แต่สุดท้ายปิดต่ำกว่า --- สาระสำคัญสำหรับนักลงทุนมือใหม่ 1. ใช้ เส้น RS line เป็นตัวชี้วัดห...

การเทรดคือการบริหารจัดการจิตใจตัวเอง



การเล่นหุ้นมันเป็นการบริหารจัดการสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้ากับความฝันที่เรามี

คืออย่างที่บอกไปว่าเราซื้อหุ้นน่ะเราก็หวังให้มันวิ่งขึ้นทำกำไรให้เราใช่ไหมครับ
แต่ว่าบ่อยครั้งมากที่ราคาหุ้นมันไม่ทำตัวตามที่ใจเราหวังไง
มันพร้อมที่จะทำให้เราขาดทุนอยู่ตลอดทุกครั้งที่เราซื้อ
นี่แหละคือปัญหา

มันเป็นความท้าทายว่าใครสามารถบริหารจัดการกับ
สิ่งที่เกิดขึ้นที่มันเป็นความจริง
กับความฝันที่เราอยากจะได้กำไรดีกว่ากัน

คือถ้าเราคิดว่าตลาดหุ้นมันต้องทำให้เราได้กำไรตลอดเวลานี้
ผมว่าคิดแบบนี้ไม่รอด มีโอกาสขาดทุนเละเทะสูงมาก

ซึ่งนี่เป็นความเชื่อของนักเล่นหุ้นมือใหม่ส่วนใหญ่ที่ยังไม่มีประสบการณ์
อ่านหนังสือมามันก็มีแต่ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จใช่ไหมครับ
พอเราเล่นหุ้นเราก็คิดว่าตัวอย่างมันก็ต้องเป็นไปตามทฤษฎีที่เขาบอกในหนังสือแหละ
แต่ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น
มันมีความเหมือนกับทฤษฎีแค่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์นั้นมันไม่ตรงเลย

แต่เราไม่รู้ไง
เพราะเราไม่รู้ก็เกิดความลำเอียงเอาตำรามาอ้างทำให้เราเสียหายมากขึ้น

ดังนั้นผมเลยอยากนำเสนอท่านแบบนี้ว่า
ให้มองว่าตลาดหุ้นมันมีโอกาสเกิดได้ 2 อย่าง ก็คือว่า
ทำตามใจเรา กับขัดความรู้สึกเรา

ซึ่งมันเป็นเหมือนชีวิตเราอ่ะครับ
เพราะว่าชีวิตเรามันก็ไม่มีอะไรที่มันได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอก
ส่วนใหญ่มักจะขัดใจเราตลอดแหละ

หน้าที่เราก็คือว่าถ้าเกิดความขัดใจแล้วเราจะอยู่กับมันได้ยังไง
เราจะถอยออกมาเพื่อที่จะลดความเจ็บปวดเราดีไหม
หรือว่ายอมทนสู้ต่อไป
ตรงนี้แหละสำคัญ

ซึ่งผมว่าในมุมมองนะ การถอยออกมาจะดีกว่า
เพราะว่ามันมันเป็นสิ่งที่ผมเจอมาโดยตลอดในช่วงเวลา 5-6 ปีที่เล่นหุ้นมา

ก็คือว่าตลาดหุ้นมักจะทำตัวตรงข้ามกับสิ่งที่เราคาดหวังเสมอไง
ดังนั้นแทนที่เราจะสู้แล้วก็พยายามทนดู
มีความหวังว่าราคาหุ้นจะต้องวิ่งทำให้เรามีกำไรนั้น
ผมว่าเป็นวิธีการที่ผิด

ยิ่งทนยิ่งมีความหวัง
ยิ่งเสียหายเยอะ

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว การยอมรับชะตากรรมว่าเราคิดผิดมันเป็นสิ่งที่สมควรทำมากกว่า
ตรงนี้ล่ะครับที่มันเป็นเหมือนกับเปลี่ยนวิธีคิดของเรา

ว่าแทนที่เราจะสู้กับตลาด ก็เป็นการยอมรับตลาด
โดยการให้ความเสี่ยงนำก่อนโอกาส

คือถ้าเราซื้อแล้วราคาหุ้นไม่ยอมไปต่อทำให้ขาดทุน
เรายอมชักเงินออกมาก่อน
ถ้าทำแบบนี้ได้ผมว่าเราจะมีความสบายใจกับตลาดมากขึ้น
และทำให้เงินต้นของเราไม่เสียหายมาก
เท่ากับการทนสู้ด้วยความหวังว่าตลาดหุ้นจะเข้าข้างเรา


7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ

ผมใช้เวลา 15 ปี กว่าจะกลายเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ระดับโลก และสร้างกำไรกว่า 100 ล้านดอลลาร์จากการเทรดได้

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

สรุปหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่"