บทความนี้แปลจากบล็อก
https://whatheheckaboom.wordpress.com/2013/01/21/book-review-of-stock-market-technique-number-one-by-richard-d-wyckoff/
๑) เน้นดูที่ Supply กับ Demand
- การเคลื่อนไหวของตลาด ขึ้นอยู่กับ อุปสงค์และ อุปทาน
- ไม่จำเป็นว่าการซื้อหรือขายนั้นมันเป็นไปตามกลไกหรือปลอมๆ - พวกนี้มันเป็นเกมที่ถูกออกแบบให้รับใช้เป้าหมาย(ของคนทำราคา)
๒) วิธีการทำงานของ Market Maker
๒.๑) เลือกเป้าหมาย
- ทำการทดสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อดูว่าตอบสนองต่อความกลัวหรือความกล้า
- ถ้าต้องการทำให้ตลาดวิ่งขึ้น, เขาจะทดสอบหุ้นนำตลาดที่มีความต้านทานน้อยสุด
- ที่ต้องเลือกตัวที่มีความต้านทานน้อยสุด เพราะไม่อยากเจอหุ้นจำนวนมากขวางทาง
- จึงต้องเลือกหุ้นที่สามารถไล่ราคาขึ้นไปด้วยการใช้เงินจำนวนน้อยๆ
๒.๒) ตามติด
- หลังจากลองซื้อด้วยเงินน้อยๆแล้วราคาวิ่ง, เขาก็จะเริ่มทดสอบด้วยการเสนอราคาที่แพงขึ้นด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้น ทำให้ราคาวิ่งแรง (หรือที่เราเรียกกันว่า "จุดพลุ") เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเทรดเดอร์ทั่วไปให้เข้ามาร่วมวงช่วยซื้อ
- ราคาวิ่งขึ้นบวกแรงพร้อมกับวอลุ่มที่สูงขึ้น และมีการแกว่งตัวในรูปแบบขาขึ้น(คือยกไฮยกโลว์)
๒.๓) สร้างการสนับสนุน
- Composite Operator (ที่ประกอบด้วย นายธนาคาร, การรวบรวมเงินเพื่อลงทุน, รายใหญ่, เทรดเดอร์มืออาชีพ และรายย่อย) เริ่มมั่นใจว่าตลาดเป้นขาขึ้นแน่แล้ว จึงเข้ามาร่วมวง
- ถ้าเห็นว่าหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มไม่ยอมวิ่ง(หรือที่เรียกว่า laggard) เขาจะส่งให้โบรคเกอร์เข้าไปช่วยไล่ราคา
- หากพวกหุ้นที่อ่อนแอได้วิ่ง breakout ขึ้นไป,ตลาดก็มีบรรยากาศของขาขึ้นแล้ว
๒.๓) แจกจ่ายขายหุ้นเมื่อเห็นว่า demand อ่อนแอ
- เมื่อราคาวิ่งขึ้นไปต่อเนื่อง,เขาพบว่าแรงซื้อเริ่มอ่อนแอและเหนื่อย
- ก็เริ่มปล่อยหุ้นออกเท่าที่จะทำได้ที่จุดสูงสุดของการแกว่ง และตลอดทางลง
๒.๔) ซื้ออย่างเงียบๆหลังจากที่ราคาย่อลงไปลึก 60% จากยอด
- ถ้าราคาบวกขึ้นไปสิบจุด, เขาจะขายจนราคาลงไปถึง 6 จุดจากยอด แล้วจึงค่อยๆแอบซื้อหุ้นที่ขายออกกลับคืน ไม่ได้ตั้ง bid แต่รับที่ offer
- จาก 1000 หุ้นที่ตั้ง offer ที่ราคาหนึ่งๆ เขาอาจจะซื้อ 600 หรือ 700 หุ้น เหลือเอาไว้ 300 หุ้น แบบนี้การสะสมของเขาจะไม่เป็นที่รู้เห็น
๒.๕) ขึ้นแบบเขย่า (Engineering shakeouts) เพื่อเก็บหุ้นที่เหลือ ในระดับ 50% retracement
- หลังจากที่เขาดูดหุ้นที่กระจัดกระจายในตลาดไปไว้ ในช่วงที่กลางทางของการย่อจากจุดสูงสุด
- แรงขายเริ่มอ่อนแอและเหือดแห้ง, เขาเริ่มซื้อหุ้นได้น้อยลง จึงต้องขายหุ้นหลายตัวเพื่อกดให้ตลาดอ่อนแอย่อลงไปอีกครั้ง คนก็จะตกใจขายหุ้นเป้าหมายออก จนเขาได้หุ้นครบจำนวน
- เมื่อหุ้นเหล่านั้นอ่อนแอ, หุ้นตัวอื่นก็วิ่งขึ้นน้อยเพราะการซื้อที่จำกัด ดัชนีจึงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
- คนที่กลัวหุ้นลงต่อก็พากันขายหุ้นออก ทำให้ดัชนีย่อลงไปอีก จึงเข้าทางเหล่า C.O. ให้ซื้อเพิ่มกันใหญ่
๒.๖) ตลาดกลับตัว และเริ่มวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆพร้อมกับสะสม
- เมื่อไม่มีหุ้นออกมาวางขายมากๆอีกแล้ว ตลาดก็หยุดลง
- หุ้นที่ถูกขายตั้งแต่จุดสูงสุดลงมาก็ถูกดูดเก็บไปจนหมด
- พอตลาดหยุดลง ราคาก็เริ่มกลับตัวขึ้นไป โดยเริ่มหยุดตั้งแต่ระดับ 60% เพราะคนทำราคาแอบซื้อ และจะดันขึ้นแบบเขย่าให้ราคาขึ้นไปถึงระดับ 50% นี่คือการกลับตัวแบบงงๆ เนื่องจากคนทำราคาสะสมไปเขย่าไปตลอกทางของการกลับตัว
๒.๗) เริ่มมีการเสนอซื้อ (bid up) เมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับ 30% retracement
- เมื่อราคาดีดกลับขึ้นไปถึงระดับ 3 ใน 5 จุด จากการย่อได้ เขาจะเริ่มไล่ราคาโดยการงับที่ offer
- พอราคาวิ่งไปถึงระดับสูงสุดก่อนหน้า(ไฮเดิม) จะมีการขายครั้งใหญ่เกิดขึ้น เพราะคนที่ติดดอยก็รอปล่อยของเพื่อเอาทุนคืน รวมถึงคนที่แอบเก็บมาตั้งแต่ก้นของการย่อก็ตั้งขายที่ไฮนี้เพราะราคาถึงเป้าหมายที่ต้องการแล้ว
- ราคาจึงแกว่งตัวแคบๆ ไม่ไปต่อ ท่านจึงเห็นรูปแบบราคาประเภท double top ซึ่งเหมาะต่อการชอร์ต
- แต่เหล่า C.O. มองว่าการขายที่บริเวณจุดสูงสุดครั้งนี้ มันไม่มากพอที่จะหยุดพลังของความอยากขึ้นได้ มันยังมีกำลังซื้อแฝงอยู่เพื่อดันให้ราคาวิ่งขึ้นต่อไปได้อีก
- เขาจึงตัดสินใจ ไล่ซื้อหุ้นที่วางขายที่แนวต้านทั้งหมด เพื่อให้ราคาทะลุขึ้นไปทำนิวไฮ เพื่อสร้างกำลังใจ,ความฮึกเหิมให้กับกำลังซื้อแฝงจากภายนอกนั้น(คนที่พร้อม follow buy เมื่อราคา breakout ได้นั่นเอง)
๒.๘) กำลังซื้อแฝงจากภายนอกเอาชนะแรงขายได้อย่างเด็ดขาด คนขายหมูรู้ตัวว่าคิดผิด
- แท่งราคาเขียวยาวทะลุระดับจุดสูงสุดเดิมขึ้นไปได้อย่างเด็ดขาด
- คนขายหมูรู้ตัวว่าคิดผิด กลับไปช่วยซื้อหุ้นคืนเพื่อทำกำไรต่อ
- ความคึกคักของขาขึ้นควบคุมสถานการณ์ได้หมดจด ราคาจึงบวก และบวกขึ้นไปได้เรื่อยๆ
๒.๙) มีการแอบปล่อยหุ้นตลอดระยะทางขาขึ้นครั้งใหม่
- ในระหว่างขาขึ้นรอบใหม่นี้, นอกจาก C.O. จะช่วยซื้อเพื่อดันราคาขึ้นในช่วงต้น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้พลพรรคนักซื้อแล้ว เขาก็ยังได้ปล่อยหุ้นไปให้กับความต้องการซื้อขนาดใหญ่นี้ด้วย
- เขายังขายไปเรื่อยๆ จนกว่าความต้องการซื้อจะพอใจ
- และแล้วราคาหุ้นก็ถึงจุดอิ่มตัว ความต้องการซื้อมีไม่มากพอที่จะดันราคาขึ้นได้อีก เนื่องจากมีหุ้นวางขายจำนวนมากเกินกว่าที่แรงซื้อระลอกใหม่จะรับได้หมด
๒.๑๐) เกิดการขายอย่างรุนแรง
- เมื่อแรงซื้ออ่อนแอ สู้แรงขายไม่ได้, C.O. ก็รู้ว่าถึงเวลาปล่อยของที่เหลือจำนวนมากแล้ว
- เขาตัดสินใจช่วยไล่ราคาขึ้นไปให้ทำนิวไฮอีกครั้ง เพื่อทำให้คนในตลาดยังเชื่อว่าราคาจะโอกาสไปต่อได้อีก พวกเขาจึงซื้อเพิ่มกันใหญ่
- ทว่า, ความต้องการขายจำนวนมหาศาลถูกวางขวางไว้ไม่ให้ราคาขึ้นไปต่อได้อีกแล้ว เขาก็เริ่มขาย ขาย และขาย
- จากการขายแบบไม่หยุดนี้เอง ทำให้ราคาลงหนัก จนคนทั่วไปรู้สึกระมัดระวัง และในที่สุดก็กลัว
- นั่นคือพวกเขากลัวว่าตลาดจะลงจบรอบไปเลย แต่ก็ยังแอบหวังว่ามันจะฟื้นตัว(กลัวโดนหลอก) จึงมีความขัดแย้งทางอารมณ์ จะขายก็กลัวโดนหลอก จึงกลายเป็นไม่กล้าขายในที่สุด
๒.๑๑) ตลาดร่วงรุนแรง
- ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ เนื่องจากความต้องการซื้อเข้ามารับหุ้นน้อยมาก
- ราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ supply ยังคงมีมากกว่า demand
- เล่า C.O. ยังคงขายช็อร์ตเพื่อทำกำไร ตราบใดที่พวกเขายังปลอดภัย และเตรียมเงินกำไรที่ได้ ไปรอรับซื้อในระดับราคาต่ำๆต่อไป
กระบวนการเทรด
๑) อันดับแรก,ประเมินสภาวะตลาด
ตลาดจะถูกเสมอ มันอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเสมอ นี่คือสิ่งที่เราต้องยอมรับให้ได้ก่อน
บางทีมันอาจจะทำขาขึ้นที่แข็งแกร่ง, หรือวิ่งขึ้นแบบอ่อนแรง, หรือพักฐาน, หรือย่อหลังจากที่วิ่งต่อเนื่อง, หรือฟื้นตัวจากขาลง,หรือทรงอื่นๆที่เราเข้าใจได้ บางครั้งมันก็แช่อยู่อย่างนั้น
ณ ขั้นตอนนี้ ให้คุณรับรู้มันเท่านั้น เพราะจะใช้เพื่ออ้างอิง ในการหาหุ้นในสเต็ปต่อไป
๒) มองหาหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มของตลาด
- หุ้นแต่ละตัวอยู่ในตำแหน่งทางเทคนิคบางอย่างและมีแนวโน้มเป็นของตัวเอง
- โดยธรรมชาติ,ถ้าแนวโน้มของตลาดทั่วไป(ดัชนี)บวกขึ้น, ก็เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามตลาด
ถ้าคุณเลือกหุ้นที่ทำตัวตามแนวโน้ม มันจะวิ่งไปตามแนวโน้มนั้นไง เช่นในภาวะที่ดัชนี SET เป็นขาขึ้น หมายความว่ามีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดมากขึ้น หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมันบวกกัน เพราะคนมีความโลภ เราก็ต้องตามกระแส-ถ้าอยากได้เงิน เขาซื้อเราก็ต้องซื้อ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องดูตลาดไว้ก่อน
๓) เลือกหุ้นที่มีความน่าจะเป็น ที่จะทำกำไรให้มากที่สุด
- ในทุกการวิ่งที่สำคัญของหุ้นแต่ละตัว มันจะมีช่วงเวลาของการเตรียมการ(สะสม)
- มองหาและเลือกเฉพาะหุ้นที่จะวิ่งไกลๆ กำไรหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ไว้ก่อน
นักเก็งกำไรระดับโลกบางคนชอบเลือกหุ้นที่มีแนวต้านขวางทางน้อยๆ หรือกระทั่งทำ All time high เพราะเชื่อว่าถ้าตลาดเป็นขาขึ้นจริงๆ ความคึกคักจะทำให้หุ้นที่ไร้คนติดดอยวิ่งแรงกว่าหุ้นที่เพิ่งฟื้นจากการเป็นขาลงข้างล่าง
หรือบางคนที่มีความรู้ทางด้าน price pattern ก็จะรู้สูตรของระยะทางการวิ่งว่าควรไปได้เท่าไหร่ ก็สามารถใช้ข้อมูลนี้ไปเป็นตัวเปรียบเทียบว่าตัวไหนจะบวกให้มากกว่าได้เช่นกัน
๔) ทนถือจนราคาวิ่งไปถึงเป้าหมาย แล้วค่อยพิจารณาขายออก
แนะนำบทความรวมคลิป = คอร์สหุ้นออนไลน์
ชมฟรีครับ ที่ช่องยูทูปของ zyo
***********