เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการเทรดหุ้น คุณไม่ต้องรอบรู้ไม่ต้องเก่งทุกเรื่องและทุกอย่างหรอก ทำแค่ 7 เรื่องนี้ให้ได้ก็พอ....

Image
เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการเทรดหุ้น พี่มาร์คบอกว่า คุณไม่ต้องรอบรู้ไม่ต้องเก่งทุกเรื่องและทุกอย่างหรอก ทำแค่ ๗ เรื่องนี้ให้ได้ก็พอ.... ๑) (ในยามที่ตลาดยากลำบาก/กลยุทธ์ของคุณไม่เวิร์ค) พัฒนาความสามารถในการควบคุมตนเองให้นั่งเฉย ๆ ไม่เทรด -  บังคับตนเองให้ถือเงินสดเป็นระยะเวลานานได้โดยไม่เทรด และไม่ปล่อยให้ดัชนีกดดันให้คุณบังคับตัวเองให้ต้องเทรดทั้ง ๆ ไม่มีหุ้นที่ตรงตามเกณฑ์การซื้อของคุณ ๒) จำกัดความสูญเสียทั้งหมดให้มีขนาดน้อยเมื่อเทียบกับขนาดของรางวัล ๓) เมื่อการเทรดของคุณเวิร์ค ให้ขยันเทรดเพื่อให้กำไรทบต้นมากที่สุด ๔) เมื่อการเทรดของคุณไม่เวิร์ค ให้หยุดเทรด หรือเทรดให้น้อยที่สุด เพื่อลดการทบต้นความผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด ๕) อย่าถัวเฉลี่ยหุ้นที่ขาดทุน ๖) อย่าปล่อยให้กำไรก้อนโตกลายเป็นขาดทุน ๗)  เคารพความเสี่ยงและมีวินัย บังคับตนเองให้ทำตามกฎและแผน-แทนที่จะทำตามอีโก้ให้ได้ตลอดเวลา

กลยุทธ์ และสไตล์การเทรดของ ปู่ William O’Neil


เป็นนักเขียน, นักธุรกิจ, stockbroker, ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ Investor's Business Daily และบริษัท William O'Neil & Co. Inc รวมถึงเป็นเจ้าของหนึ่งในหนังสือการลงทุนที่ขายดีทั่วโลก อย่าง How to Make Money in Stocks – A Winning System in Good Times Or Bad หรือ "คัดหุ้นชั้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม" อีกทั้งยังเป็นอาจารย์และแรงบันดาลใจให้กับเทรดเดอร์ชั้นยอดของโลกมากมาย

ปู่โอนีลเริ่มต้นอาชีพการเป็นโบรกเกอร์ที่ Hayden Stone & Company ในปีพ. ศ. 2501 และได้พัฒนากลยุทธ์การลงทุนซึ่งใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก,
เขาเคยระบุไว้ในการให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า "The Battle for Investment Survival" ของ Gerald Loeb คือหนังสือเล่มแรกที่ส่งอิทธิพลต่อเขาอย่างมาก นอกจากนั้นเขายังสนใจเป็นพิเศษกับ Bernard Baruch, Jesse Livermore,  Jack Dreyfus และ Nicolas Darvas ที่เป็นนักลงทุน รวมถึงชื่นชม โทมัส เอดิสัน อีกด้วย

การเลือกหุ้น
๑) เกณฑ์พื้นฐานที่สำคัญ
- อัตราการเติบโตของ EPS รายปี ควรอยู่ที่ 30% ของทุกๆ 3 ปีที่ผ่านมา
- รายได้ของทุกๆไตรมาสในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ควรอยู่ที่ 25% หรือมากกว่าไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
- ยอดขายควรโตในอัตราเร่ง โดยเฉพาะไตรมาสล่าสุดและก่อนหน้านั้น หรือควรทำได้ 25%  หรือมากกว่าไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
- ROE ควรมากกว่าหรือ 20
- เป็นที่หนึ่งในกลุ่มธุรกิจนั้น โดยเฉพาะการเติบโตของยอดขายและรายได้, กำไรสุทธิ และ ROE
- ผู้บริหารเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม
- จะยอดมาก ถ้ามีผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ไม่ซ้ำใครหรือพิเศษกว่า
- มีการสนับสนุนจากสถาบันที่แข็งแกร่ง
- อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำ
- มีกองทุนรวมที่ผลประกอบการดี,ธนาคารและนักลงทุนสถาบันอื่น ๆ ถือหุ้น



๒) เลือกเฉพาะหุ้นที่มีค่า Relative Strength(RS) ตั้งแต่ 80 ขึ้นไป
ผู้นำที่แท้จริงอาจจะแสดงค่า RS ตั้งแต่ 85 ขึ้นไป

๓) มองหาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือภาคอุตสาหกรรมชั้นนำ
ควรมีการวิ่งขึ้นเป็นกลุ่ม และค่า RS เกิน 80 หลายๆตัว

๔) หากลุ่มอุตสาหกรรมนำของตลาดได้ที่ไหน?
คัดหุ้นที่ทำ 52 week high (ราคาเบรค 200 วัน) แล้วแบ่งแยกดูว่ามาจากอุตสาหกรรมไหนบ้าง ที่เยอะสุดนั่นแหละเป็นผู้นำ พยายามเช็คทุกวัน หาตัวท็อปให้เจอ หากมีกลุ่มใหม่เพิ่งเริ่มติดชาร์ทเข้ามายิ่งดี จะได้ต้นเทรนด์

๕) พิจารณาว่าตลาดกำลังเน้นหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นขนาดเล็ก
เป็นการบ่งบอกว่ากระแสเงินกำลังเข้าไปเล่นที่กลุ่มไหน คุณก็ตามน้ำไป สวนกระแสไม่ได้ตังค์หรอก

๖) ตรวจดูว่ากองทุนชั้นนำกำลังซื้อหุ้นตัวไหน
หาตัวที่กองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดเข้าซื้อหุ้นจำนวนมาก เพราะมันจะบอกคุณว่ามีความเชื่อมั่นมากที่สุดอยู่ที่นั่น

๗) หุ้นที่วิ่งหลายเด้งจะมีค่า PE สูงมาก
จากการเช็คหุ้น(ของสหรัฐ)ที่วิ่งแรงๆตั้งแต่ 500%-1000% พบว่า P/E ของพวกมันจะสูงกว่า 31 และพวกที่วิ่งเป็นสิบเด้งส่วนใหญ่จะมีค่าไกล้ๆ 70 ในตอนที่ราคาวิ่งขึ้นแรงๆ

ซื้อยังไง?
๑) อย่าซื้อที่จุดต่ำสุดของรูปแบบราคา cup with handle ได้ไม่คุ้มเสียหรอก
เป้าหมายของการลงทุนสไตล์นี้ไม่ต้องการให้ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำสุดหรอกนะ
เขาเน้นให้ซื้อเฉพาะตอนที่ราคาพร้อมวิ่งขึ้นอย่างมีนัยยะต่างหาก
มันต้องเป็นตอนที่เทคนิคอลและพื้นฐานมันเป๊ะ ซื้อตรงที่มันทำ Pivot point แล้วมันควรวิ่งขึ้นไปต่อได้ทันที แต่ถ้าไม่ไม่ต่อ,ก็ควรร่วงลึกกว่า 8% (หลุดจากนี้ก็ขาย)
สำหรับกราฟรายวัน ตอนที่ราคา breakout วอลุ่มควรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50% เหนือค่าเฉลี่ย

๒) ซื้อแบบพีระมิด โดยแบ่ง 3 ไม้
หลังจากที่ซื้อไม้แรก (50% ของทั้งหมด) ให้ระบุจุดซื้อไม้ต่อไป ถ้ามันแสดงออกว่าจะวิ่งขึ้นไปอีก
ปกติแล้วโอนีลจะซื้อไม้ที่สองเมื่อราคาวิ่งขึ้นไปได้อีก 2.5% ถึง 3% จากจุดซื้อแรก โดยไม้นี้จะเข้าไปอีก 32.5% ของทั้งหมด
และถ้ามันวิ่งขึ้นไปอีก 2.5% ถึง 3% จะซื้อไม้สุดท้ายคือ 17.5% ของทั้งหมด
แล้วเลิกซื้อเพิ่ม คุณควรจะมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ในระดับ 5% จากจุดที่มันเริ่มวิ่ง จากนั้นให้นั่งกระดิกเท้าดูกำไรที่โตขึ้น




ขายตรงไหน?
๑) ขายตอนที่มันทำจุดสูงสุดยอด (Climax tops)
ประมาณ 30% ของหุ้นนำตลาดจะทำจุดสูงสุดแบบ climax top หลังจากที่วิ่งขึ้นต่อเนื่องหลายเดือน
ลักษณะที่อาจจะเป็น climax top คือมีวันหนึ่งที่ราคาวิ่งขึ้นทำแท่งเขียวยาวที่สุดในประวัติตั้งแต่มันวิ่งขึ้นมา

๒) ขายเมื่อมันมี PE เพิ่ม 130% ขึ้นไป
นอกจากนี้คุณอาจพิจารณาขายเมื่ออัตราส่วน P/E ของหุ้นเพิ่มขึ้น 130% หรือมากกว่าจากช่วงเวลาที่หุ้นเริ่มเคลื่อนไหวใหญ่จากฐานราคา

๓) ขายเมื่อราคาหุ้นทะลุกรอบบนของ channel ขึ้นไป 2% หรือ 3%
คุณอาจขายหุ้นบางส่วนออกไป เมื่อราคาหุ้นทะลุกรอบบนของ channel ขึ้นไปแล้ว 2% จาก 3%
Channel ทำได้โดยการลากเส้นตรงที่เชื่อมจุดสูงสุด 3 จุดต่อกัน และเส้นคู่ขนานที่สองก็เชื่อมต่อจุดต่ำสุด 3 จุดในช่วงเวลาเดียวกัน



MONEY MANAGEMENT
๑) จำกัดขาดทุนที่ 8% 
ตั้ง stop loss ไว้ที่ 8% ต่ำกว่าจุดที่ซื้อ เพื่อจำกัดการขาดทุน
แต่กระนั้น, โดยรวมแล้วคุณอาจจะขายทิ้งก่อนที่มันจะลงไปถึง 8%  ได้ ถ้ามั่นใจว่ามันเสียทรงไปอย่างชัดเจนแล้ว

๒) อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
เมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นจนถึงระดับราคาที่เหมาะสมแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องขาดทุน
ยกตัวอย่างเช่น คุณมีทุน 50 บาทต่อหุ้น และราคาได้วิ่งขึ้นไปที่ 58 หรือ 59 บาท แต่จากนั้นมันกลับร่วงลงมถึง 50.5 บาท คุณควรขายเพื่อเก็บกำไรเล็กน้อยนั้นออกไปก่อน อย่าปล่อยให้กำไรเป็นขาดทุนด้วยการนั่งหวังว่ามันจะเด้งกลับขึ้นมาให้ขายอีกรอบ เพราะคุณอาจจะไม่ได้รับโอกาสที่สอง

๓) หลีกเลี่ยงการถูกเขย่าออกจากหุ้นที่โดดเด่น
ประมาณ 40% ของหุ้นที่คุณซื้อจะย่อกลับลงมาใกล้จุดซื้อเริ่มต้นของคุณ ซึ่งบางครั้งก็ลงพร้อมวอลุ่มที่สูงเอาการ สำหรับหนึ่งหรือสองวัน ตราบเท่าที่มันยังลงไม่ถึงจุดตัดขาดทุนของคุณ (ต่ำกว่าทุน 8%) ให้นั่งนิ่งๆและอดทน บางครั้งกว่าที่มันจะเด้งขึ้น,ก็ใช้เวลาหลายสัปดาห์ คุณต้องรู้จักรอถ้าต้องการกำไรก้อนใหญ่

๔) หุ้นของคุณอาจย่อกลับมาไกล้ หรือต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันไปสักวันหรือสองวัน นี่เป็นโอกาสซื้อที่เหมาะสม

๕) อย่าขายและทำกำไร ถ้าหุ้นนำตลาดของคุณวิ่งขึ้น 20% หรือมากกว่าในเวลาเพียงสองหรือสามสัปดาห์เท่านั้น คุณต้องอดทนและให้หุ้นของคุณมีเวลามากขึ้น การวิ่งขึ้นรอบใหญ่มักต้องใช้เวลาในการพัฒนา ดังนั้นควรรออย่างน้อย 8 หรือ 10 สัปดาห์นับจากการซื้อครั้งแรกของคุณ จากนั้นจึงลองพิจารณามันดูอีกครั้ง


การทบทวนการกระทำของตลาด
หุ้นสามในสี่ของทั้งหมดจะวิ่งตามแนวโน้มของตลาด
เหตุผลที่คุณต้องประเมินดัชนีเหล่านี้อย่างรอบคอบ คือเมื่อดัชนีขึ้นสูงแล้วกลับตัวลงและร่วงหนักอย่างมาก หุ้นสามในสี่ของทั้งหมด (ไม่ว่าคุณจะคิดว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม) จะเป็นไปตามแนวโน้มของตลาดคือมันจะลงตามดัชนี


10 ลักษณะของคนที่ประสบความสำเร็จ ในมุมมองของปู่วิลเลียม โอนีล
1) มีความคิดเชิงบวก. พวกเขาคิดว่าตัวเองต้องประสบความสำเร็จ, ไม่ล้มเหลว,โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่ยากลำบาก
2) ตัดสินใจอย่างมีสติเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังติดตาม, และวาดแผนการเฉพาะเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
3) ไม่หยุดเรียนรู้
4) มีความอดทนและทำงานหนัก
5) ชอบวิเคราะห์รายละเอียดและหาข้อเท็จจริง
6) โฟกัส, ไม่ให้คนหรือสิ่งอื่นใดทำให้พวกเขาไขว้เขวจากเป้าหมาย เรียนรู้การประหยัดเงิน
7) มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วสร้างมันให้เป็นรูปแบบเฉพาะ และสร้างมันให้เป็นนวัตกรรม
8) สื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9) มีจิตใจที่มั่นคง ซื่อสัตย์กับตัวเอง


(แนะนำเพิ่มเติม ของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บนี้ครับ







และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

ดูยังไงว่าเป็น Cup with Handle pattern?

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการเทรดหุ้น คุณไม่ต้องรอบรู้ไม่ต้องเก่งทุกเรื่องและทุกอย่างหรอก ทำแค่ 7 เรื่องนี้ให้ได้ก็พอ....

VCP (Volatility Contraction Pattern) และรูปแบบที่คล้ายกัน